วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษ 7 อาทิตย์ไม่เคยดับในดินแดนแห่งน้ำแข็ง [จบภาคหนึ่ง]

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะว่าตอนนี้เป็นตอนจบแล้ว แต่จบไม่จริงเพราะนี่เป็นเพียงตอนจบของภาคหนึ่งเท่านั้น เราจะมีภาคสองต่อเร็วๆนี้แน่นอน อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ!

                  เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วในยามเช้าอันสดใสปลุกสาวน้อยที่อยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นจากความฝัน เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆลืมขึ้นก่อนจะพบกับดวงหน้ารูปสลักของเจ้าชายคนสำคัญที่กำลังจ้องมองเธออยู่ ด้วยความเคยชินเฟรินฉีกยิ้มกว้างทันทีที่เห็นหน้าคาโลจนลืมไปว่าเมื่อคืนเธอได้ผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง ริมฝีปากอวบอิ่มบวมช้ำเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นบิดเบี้ยวเมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบนริมฝีปากจนต้องร้องโอ๊ยออกมา
                  "เจ็บมากมั้ย?" มือหนาค่อยๆยกขึ้นไล้ไปตามริมฝีปากบวมช้ำอย่างอ่อนโยนทำให้เธออดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ คาโลในตอนนี้ช่างต่างกับเมื่อคืนเหลือเกิน
                  "ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก นายไม่ต้องห่วง" กล่าวพร้อมกับพยายามฉีกรอยยิ้มสดใสให้อีกฝ่ายแต่คาโลกลับไม่ยอมมองหน้าเธอด้วยซ้ำ มือหนาค่อยๆเลิกผ้าห่มขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ตอนนี้ประปรายไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ บางที่ก็มีสะเก็ดแผลอันเป็นผลจากสะเก็ดน้ำแข็งจากพลังเวทมนตร์ของคาโล มือใหญ่ลูบไปตามรอยที่อยู่บนแขนบางแล้วค่อยๆทาบฝ่ามือตนลงกับรอยม่วงช้ำเป็นปื้นใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับมือของเขาพอดี ดวงหน้ารูปสลักหม่นหมองแลดูเจ็บปวดจนคนมองใจหายวาบ
                 "ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีกหรอ?"
                 "ก็ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆนี่ รอยช้ำแค่นี้เอง แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายแล้ว อย่าลืมสิ นี่เฟริน เดอเบอโรว์นะ ไม่ตายง่ายๆหรอกน่า" เฟรินพยายามตอบด้วยเสียงสดใสหวังจะคลายความรู้สึกผิดให้คาโล มือเรียวเอื้อมขึ้นเพื่อจะเชยใบหน้าหมองหม่นให้หันมามองตนแต่แล้วก็ต้องพลาดไปเมื่อคาโลลุกขึ้นจากเตียงกระทันหันแล้วยืนหันหลังให้เธอก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ
                 "ฉันจะไปตามคนมาดูแลเธอ ระหว่างนี้เธอก็ใช้ห้องฉันไปก่อนก็แล้วกัน ฉันจะไปนอนห้องอื่นเอง" กล่าวโดยไม่หันมามองหน้าเธอสักนิดแล้วเดินออกจากห้องไป



                 เป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้เธอต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนิ่งๆเป็นเวลาหลายวันโดยมีสาวใช้คอยดูแลอยู่ตลอดเวลาจนตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว รอยช้ำตามตัวก็หายไปจนเกือบหมดแล้วด้วย แต่ความหงุดหงิดในใจนี่สิที่มันทำยังไงก็ไม่หายซักที หลายวันที่ผ่านมาเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของคาโลด้วยซ้ำ หลังจากลุกออกจากเตียงไปในวันนั้นคาโลก็ทำอย่างที่พูดจริงๆคือยกห้องของตัวเองให้เธอแล้วตัวเองก็ไปนอนที่อื่นแทน แถมยังไม่คิดมาเยี่ยมกันเลยซักนิดทั้งๆที่ต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงนี่ก็คือเขาแท้ๆ
                "วันนี้ไม่ต้องยกข้าวขึ้นมาให้ฉันนะ ฉันจะลงไปกินข้าวข้างล่าง" เฟรินกล่าวกับสาวใช้ที่กำลังเช็ดตัวให้เธออยู่
                "แต่ท่านยังไม่หายดีนะคะ หมอบอกว่าท่านควรจะพักอีกอย่างน้อยสองถึงสามวัน...."
                "โอ๊ย ไม่เอาด้วยหรอก ขืนให้ฉันนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงต่ออีกแม้แต่วันเดียวฉันได้เฉาตายแน่ๆ" กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่ฟังคำค้านของสาวใช้ซักนิดทำให้สาวใช้ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมจำนนกับความหัวรั้นของเจ้าหญิงตัวดี
                 'ยังไงๆวันนี้ฉันจะต้องคุยกับนายให้ได้ ไอ้ก้อนน้ำแข็งงี่เงา กล้าดียังไงมาหลบหน้าฉันห้ะ!' เฟรินคิดในใจอย่างมุ่งมั่นแล้วเดินออกจากห้องไป


                 ภาพร่างคุ้นตาที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะตัวยาวเรียกร้อยยิ้มขึ้นประดับบนริมฝีปากอิ่ม ร่างบางสาวเท้าไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับคาโลพอดิบพอดี ปากอิ่มกำลังจะขยับเพื่อเอ่ยทักทายแต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อร่างสูงผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโต๊ะทันทีโดยไม่ชายตามองเธอสักนิด ปฏิกิริยาของคาโลที่มีต่อการปรากฏตัวของเธอยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าเขากำลังพยายามหลบหน้าเธออยู่แน่ๆ เฟรินรีบวิ่งตามคาโลออกไปทันทีก่อนจะตามไปทันแล้วรั้งมือใหญ่เอาไว้
                 "เดี๋ยวสิ นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย!"
                 "ก็ไม่ได้เป็นอะไรหนิ"
                 "ไม่ได้เป็นอะไรแล้วหลบหน้าฉันทำไม? คนที่ควรจะหลบมันคือฉันที่เป็นผู้ถูกกระทำต่างหากไม่ใช่นาย!!" สีหน้าที่เปลี่ยนไปของคาโลบ่งบอกได้ว่าเธอเผลอพูดจี้ใจดำเข้าให้แล้ว รอยเจ็บปวดฉายวาบขึ้นบนใบหน้ารูปสลักก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นนิ่งเฉยอย่างรวดเร็ว
                  "ฉันก็แค่ยุ่งมากจนไม่มีเวลาว่าง มีงานบ้านงานเมืองอีกเยอะแยะที่ต้องรับผิดชอบ อย่าลืมสิ ฉันเป็นเจ้าชายรัชทายาทนะจะให้เที่ยวเล่นไปวันๆได้ยังไง ถ้าไม่มีอะไรก็ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันต้องไปประชุม" กล่าวจบก็บิดข้อมือออกจากการกอบกุมของเธอแล้วเดินจากไปทันที
                   'คิดว่าคนอย่างเฟริน เดอเบอโรว์จะยอมง่ายๆงั้นหรอ ไม่มีทางซะหรอก ยังไงวันนี้เราก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องให้ได้ คาโล วาเนบลี!'


                    ร่างสาวน้อยในชุดนอนสีขาวตัวบางกำลังแอบย่องเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายแห่งคาโนวาลอย่างเงียบกริบสมชื่อหัวขโมยแห่งบารามอส เฟรินค่อยๆย่องขึ้นไปบนเตียงกว้างที่มีร่างใหญ่ของคาโลกำลังนอนหลับอยู่ มือเรียวกำลังจะเอื้อมไปสัมผัสตัวของคาโลแต่แล้วก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆร่างที่กำลังหลับไหลกลับขยับอย่างรวดเร็วแล้วพลิกตัวเธอให้กลับมาอยู่ใต้ร่างแทน ฉับพลันไฟในห้องก็สว่างขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าของเจ้าชายคาโลที่คิ้วกำลังขมวดมุ่น เมื่อเห็นว่าคนที่แอบย่องขึ้นมาบนเตียงไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นแม่ขโมยตัวดีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะคลายมือที่จับแขนของเฟรินออกแล้วทำท่าจะเดินลงจากเตียง แต่เฟรินไม่ปล่อยให้คาโลไปไหนได้ มือบางคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้แล้วดึงรั้งให้กลับมานั่งบนเตียงอย่างเดิม
                     "เดี๋ยวสิ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน"
                     "ฉันไม่มีอะไรจะคุย"
                     "นายหลบหน้าฉันทำไม"
                     "ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หลบ ฉันแค่ยุ่งจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมเธอก็เท่านั้น"
                     "ยังจะโกหกอีก แค่หน้าฉันนายยังไม่ยอมมองด้วยซ้ำ เนี่ยเห็นมั้ย!" กล่าวจบก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าคมทำให้คาโลต้องรีบหลบหน้าไปอีกทางทันที
                     "นายยังรู้สึกผิดกับเรื่องคืนนั้นอยู่ล่ะสิ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นอะไร นายไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายขนาดนั้นซักหน่อยแล้วฉันก็หายดีแล้วด้วยเนี่ยเห็นมั้ย!" กล่าวพลางดึงคอเสื้อลงให้เห็นว่าตามร่างกายของเธอไม่มีรอยฟกช้ำแล้ว จู่ๆคาโลก็พุ่งเข้าหาแล้วกดตัวของเธอเอาไว้กับเตียงจนทำให้เธอตกใจ
                     "ถ้ามันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นให้ฉันทำกับเธอเหมือนคืนนั้นอีกดีมั้ยล่ะ!" กล่าวเสียงเย็นเยียบให้เฟรินเสียวสันหลังวาบก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงมาหาเธอช้าๆ เฟรินรีบหลับตาปี๋ ตัวสั่นเป็นลูกนกเมื่อคิดว่าเธอจะต้องเจอกับความโหดร้ายอีกครั้ง
                      "หึ แค่นี้ก็สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วยังทำปากดีว่าไม่ได้เป็นอะไรมากอีก" คาโลกล่าวแล้วผละออกจากร่างบางทำให้เฟรินหัวเสียอย่างหนักจนต้องผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วโวยวายเสียงดัง
                      "ก็แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า! เราเป็นแฟนกันนะ เรื่องอย่างนี้มันก็ต้องมีเป็นปกติอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างถ้าในอนาคตเราต้องแต่งงานกันจริงๆ นายจะไม่ยอมแตะต้องตัวฉันเลยรึไง!!"
                      "บางที เราน่าจะลองคิดทบทวนเรื่องระหว่างเราดูใหม่  บางที เธออาจจะไม่เหมาะที่จะอยู่กับฉันก็ได้" คาโลกล่าวด้วยเสียงเรียบๆแล้วค่อยๆจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลของเฟริน แววตาของคาโลดูจริงจังจนเฟรินใจหาย
                      "นาย.....หมายความว่ายังไง" กลั้นใจถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆทั้งๆที่รู้ว่าคำตอบที่ได้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
                      "เรา.....เลิกกันเถอะ" คำบอกเลิกอย่างกระทันหันของเจ้าชายที่เธอรักทำเอาเฟรินนิ่งค้างไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอย่างพยายามค้นหาความตลกขบขันในนั้นอย่างที่มันมักจะเป็นเมื่อคาโลล้อเล่น แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวังเมื่อแววตาของคาโลไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด มันทั้งดูจริงจังและเด็ดเดี่ยวราวกับคนที่ตัดสินใจมาดีแล้วทำเอาเฟรินรู้สึกราวกับใจจะสลาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าตัวเธอไม่เหมาะสมกับคาโลเลยสักนิดหน้าตาก็ไม่ได้โดดเด่น กะโปโลทำตัวไม่สมหญิงไม่มีความเป็นกุลสตรี ไม่เหมาสมกับเจ้าชายสูงศักดิ์อย่างเขาเลย เธอยังเคยคิดว่าคาโลคงตาบอดที่เลือกเธอทั้งๆที่มีผู้หญิงที่ดีกว่าเธออีกมากมายนัก แต่วันนี้ทำให้รู้ว่าคาโลคงจะตาสว่างแล้ว คำบอกเลิกของเขาจึงทำให้เธอเถียงไม่ออก เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะยื้อเขาไว้ได้เลย....
                      "ฉัน......เข้าใจแล้วล่ะ" ฝืนกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ


                      เมื่อแผ่นหลังบางของเฟรินหายลับไปหลังบางประตูที่ถูกปิดลงน้ำตาลูกผู้ชายก็หลั่งออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ก็เพื่อผลดีต่อตัวของเฟรินเอง ตัวเขาเปรียบเสมือนภูเขาไฟที่รอวันประทุ เขาไม่รู้เลยว่าวันไหนที่ตัวเองจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอทำร้ายเฟรินขึ้นมาอีก เขาไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวดเพราะเขาอีกแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ปล่อยให้เธอได้ไปเจอคนที่ดีกว่าเขา คนที่จะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด........


                      ขาเรียวออกวิ่งทันทีที่พ้นออกมาจากห้องคาโล น้ำตาหลั่งไหลราวทำนบแตกเธอวิ่งไปเรื่อยๆจนออกมาจากปราสาทของคาโนวาล ร่างบางพุ่งตรงไปยังโรงเลี้ยงม้าก่อนจะเลือกม้าสีดำดูแข็งแรงมาหนึ่งตัวแล้วขึ้นขี่มันทันที ขาเรียวตบเข้าที่สีข้างของม้าพร้อมกระตุกบังเหียนทำให้ม้าหนุ่มพุ่งทะยานตัวออกไปข้างหน้า เธอไม่สนใจว่ามันจะพาเธอไปที่ไหน สิ่งที่คิดเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือออกไปให้พ้นจากที่นี่ ออกไปให้พ้นจากที่ๆมีคนใจร้ายที่ทำให้เธอต้องเสียใจ น้ำตายังคงหลั่งใหลไม่หยุดหย่อนตลอดทางอันยาวไกลที่ม้าวิ่งควบผ่านมา รู้ตัวอีกทีม้าก็พาเธอออกมาไกลมากแล้ว เมื่อรู้สึกว่าพ้นเขตแดนของคาโนวาลแล้วจึงค่อยๆขยับบังเหียนเพื่อให้ม้าชะลอความเร็วลงก่อนจะค่อยๆหยุดตัวลงที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง เฟรินผูกม้าไว้กับต้นไม้ที่อยู่แถวๆนั้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ ที่นี่อากาศหนาวกว่าในตัวเมืองคาโนวาลมาก พื้นดินและต้นไม้เต็มไปด้วยหิมะที่ก่อตัวหนา เฟรินชันขาขึ้นกอดเข่าเพื่อหวังจะคลายความหนาวให้ตัวเองได้บ้าง เป็นเพราะตอนวิ่งออกมาจากปราสาทเธอไม่ได้สนใจจะหยิบอะไรติดตัวมาด้วยเลย ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงมีแค่ชุดนอนสีขาวบางๆที่ใส่อยู่เท่านั้น ร่างบางตัวสั่นน้อยๆเมื่อลมหนาวที่พัดผ่านมาหอบเกล็ดหิมะให้ปลิวมาติดที่เสื้อของเธอด้วย มือบางค่อยๆหยิบเกล็ดหิมะขึ้นมาก่อนน้ำตาจะรื้นขึ้นอีกครั้งเมื่อมันทำให้เธอนึกถึงเจ้าชายคนที่สามารถเสกน้ำแข็งได้ น้ำตาหยดเผาะลงบนเกล็ดหิมะที่อยู่บนมือจนมันค่อยๆสลายหายไปไม่ต่างอะไรกับใจของเธอที่ตอนนี้แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี ไม่รู้ว่าเธอร้องไห้อยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว.......


                    มือใหญ่เคาะลงบนบานประตูไม้หนาสามครั้งก่อนจะรออยู่ซักพักหนึ่ง เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นบิดาจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องทรงงานของคิงแห่งคาโนวาล คาโลเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงงานของคิงบาโรก่อนจะถวายคำนับให้
                    "ท่านพ่อเรียกข้าเข้ามาพบแต่เช้า มีธุระสำคัญหรือกระหม่อม"
                    "พ่อได้ยินจากข้ารับใช้ว่าเมื่อคืนเฟลีโอน่านำม้าออกจากปราสาทไปกลางดึกดูท่าทางเหมือนกำลังร้องไห้อยู่ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า"
                    "กระหม่อมเป็นคนทำให้นางจากไปเอง" กล่าวด้วยเสียงเจ็บปวดที่พยายามข่มไว้แต่มีหรือจะปิดบังจากผู้เป็นพ่อได้ คิงบาโรรู้ดีว่าโอรสของตนรักผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน ไม่มีใครทำให้คาโลเป็นแบบนี้ได้มาก่อน เฟลีโอน่าเป็นเพียงคนเดียวที่มีอิทธิพลกับคาโลมากขนาดนี้
                    "พ่อไม่รู้หรอกนะ ว่าลูกมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำให้เฟลีโอน่าต้องไปจากลูก พ่อรู้เพียงแค่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่ลูกรักมากที่สุดถ้าไม่นับแม่ของลูกเอง ลองถามตัวเองดูดีๆว่าหากไม่มีนาง ลูกจะสามารถอยู่ได้จริงๆหรือ และสิ่งที่ลูกทำ มันจะเป็นผลดีต่อนางจริงๆหรือจะทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องเจ็บปวดกันแน่" คำตรัสของผู้เป็นบิดาทำให้คาโลเริ่มหวั่นไหว ใช่ เขารักเฟรินมาก มากอย่างไม่เคยคิดว่าจะสามารถรักผู้หญิงคนไหนได้เท่านี้ และแค่คิดถึงอนาคตที่ไม่มีเฟรินเคียงข้าง ใจมันก็รู้สึกโหวงไปหมด........
                      คิงบาโรหยิบกุญแจดอกเล็กขึ้นมาจากโต๊ะก่อนจะไขเข้ากับลิ้นชักแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำตาลทองเล็กๆขึ้นมา
                     "นี่เป็นแหวนที่พ่อสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อที่จะมอบให้กับอลิเซีย ฟาโรเวล เดอะปรินเซสออฟบารามอส แม่ของเฟริน แต่น่าเสียดายที่พ่อไม่มีโอกาสได้มอบให้แก่นาง แต่อย่างน้อยพ่อก็หวังว่าจะได้เห็นแหวนนี้อยู่บนนิ้วของลูกสาวนาง ลูกลองกลับไปคิดดูให้ดีเถิด แล้วก็อย่าคิดนานละ แหวนนี่มันต้องการคนสวมนะ" คิงบาโรยื่นกล่องใส่แหวนให้กับคาโลก่อนจะกลับไปทำงานตามเดิม คาโรถวายความเคารพแล้วเดินออกจากห้องมา เมื่อปิดประตูตามหลังเสร็จแล้วคาโลจึงค่อยๆเปิดฝากล่องขึ้นเผยให้เห็นแหวนมุกแสงจันทร์ที่ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดงามนับสิบเม็ด มือใหญ่หยิบแหวนขึ้นมาพินิจดูราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง พลันแววตาที่ดูสับสนก็ส่องประกายวาบอย่างคนที่ตัดสินใจได้แล้ว เขาคิดดีแล้ว เขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเฟริน! เขาต้องไปตามหัวใจของเขากลับคืนมา! เมื่อคิดได้ดังนั้นขายาวก็ก้าวออกไปตามหัวใจตนทันที......

     
                        แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องกระทบเกล็ดหิมะส่องเข้าตาจนร่างบางที่นอนขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้มิอาจฝืนหลับตาต่อไปได้ เปลือกตาบางค่อยๆกระพริบก่อนจะลืมขึ้นเต็มตาเผยให้เห็นเนินเขาที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บริเวณนี้ต่างผลัดใบจนหมดต้นและมีหิมะเกาะอยู่แทนที่ เฟรินค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเกล็ดหิมะที่เกาะอยู่ตามตัวออกแล้วเดินออกจากร่มเงาของต้นไม้ไปยังขอบของเนินเขา แต่แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เธอต้องตกตะลึงเมื่อเบื้องล่างต่ำลงไปที่ควรจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนกลับมีดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆขึ้นอยู่ทั่วไปหมดจนดูราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ฉับพลันคำพูดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว คำพูดของเจ้าชายอันเป็นที่รัก.....
                       "เคยมีตำนานเล่าถึง......อาทิตย์ไม่เคยดับในดินแดนแห่งน้ำแข็ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ก็ยังมีดอกเกล็ดหิมะขึ้นงามได้"
                       น้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้วรื้นขึ้นมาบนดวงตากลมสวยอีกครั้ง เฟรินค่อยๆเดินลงไปยังทุ่งดอกเกล็ดหิมะแสนสวย มือบางไล้ไปตามดอกไม้ที่เธอเดินผ่าน เฟรินเด็ดดอกเกล็ดหิมะขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วกอบกุมมันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะเอามันมาแนบลงที่อกตรงตำแหน่งของหัวใจราวกับพยายามจะให้มันช่วยสมานบาดแผลที่อยู่ในใจของเธอ แต่แล้วเฟรินก็ต้องแปลกใจเมื่อสัมผัสได้ว่าดอกเกล็ดหิมะที่อยู่ในมือเธอกำลังสั่นไหว เฟรินค่อยๆแบมือออกก่อนจะพบว่าดอกเกล็ดหิมะในมือเธอตอนนี้กำลังเปล่งแสงเรืองรองสีฟ้าสว่างไสว มันค่อยๆลอยขึ้นจากมือของเธอก่อนจะลอยออกไปยังด้านหลังทำให้เฟรินต้องหันไปมองตามก่อนจะพบว่าดอกเกล็ดหิมะได้ลอยไปหล่นลงบนฝ่ามือที่รอรับไว้อยู่แล้ว
                        "เคยมีตำนานเล่าถึง......อาทิตย์ไม่เคยดับในดินแดนแห่งน้ำแข็ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ก็ยังมีดอกเกล็ดหิมะขึ้นงามได้" เสียงนี้ที่เธอเฝ้าคำนึงถึง ประโยคนี้ที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจ เมื่อมันถูกเปล่งออกมาจากปากของคนที่เธอโหยหามากที่สุดยิ่งทำให้ยากที่เธอจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ไหว
                        "คาโล...............ฮึก ฮือออออออออออออออ" คาโลค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เฟรินทีละนิดก่อนจะหยุดลงตรงหน้าของหญิงสาวแล้วค่อยๆคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วประคองมือข้างซ้ายของร่างบางขึ้นมา
                         "ฉันขอโทษ ที่ฉันทำไปทั้งหมด ก็เพราะกลัวว่าฉันจะทำให้เธอต้องเจ็บปวดอีก แต่แล้วฉันก็ได้รู้ว่าฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ มันอาจจะดูเป็นการเห็นแก่ตัว แต่ฉันอยากจะขอให้เธออยู่กับฉันตลอดไปจะได้ไหม แต่งงานกับฉันนะ เฟริน เดอเบอโรว์" กล่าวจบก็ชูแหวนไข่มุขแสงจันทร์ล้อมเพชรขึ้นมา ดวงตาสีฟ้ากระจ่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลเพื่อรอคำตอบ
                          "อื้มม"เฟรินกล่าวพร้อมทั้งน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ น้ำตาแห่งความสุข น้ำตาแห่งความปลื้มปีติ คาโลค่อยๆบรรจงสวมแหวนวงงามลงบนนิ้วนางข้างซ้ายก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นยาวนานราวชั่วนิรันดร์ เฟรินรู้สึกราวกับเธอกำลังฝันไป ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้มันราวกับอยู่ในเทพนิยาย เทพนิยายที่มีเธอเป็นนางเอกและคาโลเป็นพระเอก สถานที่แห่งนี่ดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะมีอยู่จริง แต่สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือการที่เธอได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของเข้าชายน้ำแข็งของเธอคนนี้
                          คาโลค่อยๆผละออกจากร่างบาง มือหนาเปลี่ยนมาประคองใบหน้ามนที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวานก่อนจะค่อยๆบรรจงจูบลงบนกลีบปากอิ่ม จุมพิตแสนหวานดำเนินต่อไปอย่างยาวนานในสถานที่ราวเทพนิยายแห่งนี้ ท่ามกลางสายลมหนาวแต่เธอกลับอบอุ่นด้วยจุมพิตแห่งเจ้าชายน้ำแข็ง ท่ามกลางอากาศหนาวจัด ก็ยังมีดอกเกล็ดหิมะที่ขึ้นงามเป็นพยานรักของคนทั้งคู่ จากนี้ไป คาโล วาเนบลี และเฟริน เดอเบอร์โรว์จะเป็นดังดวงอาทิตย์อันอบอุ่นให้แก่กันและกันตลอดไป.......





............................................................จบ(ภาคหนึ่ง)บริบูรณ์...................................................

3 ความคิดเห็น: