วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค2 ตอนที่ 4 : พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล Darker [NC25+]


ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


ท้องพระโรงใหญ่ของพระราชวังแห่งคาโนวาลเนืองแน่นไปด้วยข้าราชบริภารและขุนนางน้อยใหญ่จากทั่วทั้งเอเดนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแห่งคาโนวาล นอกจากนี้เพื่อนๆของคาโลจากป้อมอัศวิน ทั้งคิล ฟีลมัส โร เซวาเรส เพื่อนๆปีสามทั้งหมด รวมถึงโรเวน วิเวียนก็มาด้วย ทุกคนอยู่ในชุดเต็มยศเป็นทางการจับกลุ่มคุยอยู่กับว่าที่เจ้าชายรัชทายาทอย่างเป็นทางการแห่งคาโนวาลอย่างคาโลในเสื้อสีน้ำเงินประดับเหรียญประจำราชวงศ์คลุมด้วยผ้าคลุมกำมะหยี่สีดำอันเป็นเครื่องแบบของนักรบแห่งคาโนวาล มือขวาถือคทาหัวลูกแก้วสีดำคู่ใจไว้ข้างตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤกษ์เข้าพิธีแล้วแต่เขายังไม่เห็นวี่แววของเจ้าหัวขโมยตัวแสบคู่หมั้นของเขาเลยทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาหน่อยๆ
"เฟรินอยู่ไหนน่ะ ทำไมยังไม่มาอีก ฉันว่าฉันไปตามดีกว่า" คาโลกล่าวด้วยความกังวลพร้อมทำท่าจะเดินออกจากท้องพระโรงทำเอาเพื่อนๆต้องรีบรั้งตัวไว้แทบไม่ทันเพราะนี่มันใกล้จะถึงเวลาเข้าพิธีแล้วขืนคาโลไปตอนนี้กลับมาไม่ทันแน่
"แกอยู่นี่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปตามเฟรินเอง" คิลกล่าวขึ้นพร้อมเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที
"ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เฟรินคงจะอยากแต่งตัวให้ดูดีที่สุดในฐานะคู่หมั้นของเจ้าชายรัชทายาทก็เลยช้า ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ" โรเวนกล่าวพร้อมขยิบตาให้ แต่นั่นไม่ทำให้คาโลคลายความกังวลลงได้เลยเพราะเขารู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเฟรินไม่ใช่คนที่จะมาเสียเวลากับเรื่องแบบนั้นเป็นแน่
"เจ้าชายคาโล ถึงเวลาเข้าพิธีแล้วพะยะค่ะ" ข้าราชบริภารคนหนึ่งเดินมาบอกทำให้คาโลต้องรีบเดินตามไปแต่ในใจก็ยังกังวลเกี่ยวกับเฟรินอยู่

คิงบาโรแห่งคาโนวาลขึ้นนั่งประทับบนบัลลังก์โดยมีคาโลยืนอยู่ข้างๆทำให้เหล่าขุนนางและผู้มาร่วมงานทุกคนยืนประจำที่เรียงเป็นแถวอย่างสวยงาม คาโลหันกลับไปดูที่ทางเข้าท้องพระโรงอีกครั้งก็ปรากฏร่างของคิลกับเฟรินเดินเข้ามาพอดีทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองเดินเข้าประจำที่ก่อนเฟรินจะหันมาสบตากับเขาพอดี ชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าแววตาของเธอดูแปลกไปแต่แล้วเขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อเฟรินยิ้มมาให้อย่างสดใสเขาจึงยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

"ไปเจอเฟรินที่ไหนล่ะ? ห้องแต่งตัวหรอ?" โรเวนกระเซ้าถามคิล
"เจอระหว่างทางเดินมาท้องพระโรงนี่แหละครับ"
"แหม่ เดี๋ยวนี้พอเป็นผู้หญิงแล้วรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วสินะเฟริน" โรเวนหันไปพูดหยอกล้อกับเฟรินแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆทั้งสิ้นทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจหน่อยๆ แต่ก็ต้องละความสนใจไปเมื่อพิธีเริ่มขึ้นพอดี
"คาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟคาโนวาล ท่านให้คำสัตย์ได้หรือไม่ ว่าจะจงรักและภักดีต่อคาโนวาล ปกครองด้วยความเป็นธรรม รวมถึงคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก" 
"ข้าขอให้คำสัตย์"
"หากท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริงขอจงดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยานี้เพื่อเป็นการสาบานตน"
ข้าราชบริภารถือถาดใส่ถ้วยเงินสลักลวดลายวิจิตรประดับด้วยทับทิมเข้ามา ภายในมีน้ำลักษณะใสๆใส่อยู่จนเต็มถ้วย คาโลถือถ้วยขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด
"ข้า ในฐานะพระราชาแห่งคาโนวาล ขอแต่งตั้งคาโล วาเนบลีเป็นเจ้าชายรัชทายาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!" คิงบาโรกล่าวเสียงดังฟังชัดพร้อมยกดาบขึ้นมาทาบที่บ่าของผู้เป็นโอรส
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นแหวกความเงียบของพระราชพิธีขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปยังที่มาของเสียงเป็นทางเดียวกัน ร่างของเฟรินค่อยๆลอยขึ้นบนฟ้าพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องที่ยังดังไม่หยุดหย่อน จู่ๆมือขนาดมหึมาก็โผล่ขึ้นกลางอากาศ มือนั้นคว้าทะลุร่างของเฟรินก่อนจะควักหัวใจออกจากตัวนางแล้วบดขยี้จนมันกลายเป็นผุยผงทำให้เสียงกรีดร้องหยุดลงทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียงพริบตาเดียวทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ลืมหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเฟรินค่อยๆสลายกลายเป็นเพียงหมอกควันไปในอากาศ.........

ภาพคนรักที่สลายกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตาทำให้คาโลโกธธจนขาดสติ ทั้งความโกรธและความเสียใจมันหลั่งไหลออกมาจนท่วมท้น ส่วนดำมืดในจิตใจของเขาถูกปลุกขึ้นอีกครั้งจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มือขาวกำคทาไว้แน่นจนสั่นไปหมด หัวคทาเปล่งแสงเรืองรองสว่างจ้า ไอมนตร์ดำแผ่กระจายออกจากทั่วร่างยังความเย็นยะเยือกให้แก่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ขณะนี้ทุกคนหันกลับมามองยังร่างที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรงเป็นตาเดียว ร่างของเจ้าชายรัชทายาทที่บัดนี้กลายเป็นซาตานไปเสียแล้ว........

เฟรินพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการที่พันข้อมือและข้อเท้าของเธออยู่ มือเรียวสีกันไปมาจนข้อมือแดงเถือกและมีเลือดซิบ แต่แล้วในที่สุดเธอก็สามารถปลดมือออกจากเชือกที่มัดข้อมือเธออยู่ได้ เฟรินรีบดึงผ้าที่อุดปากเธออยู่ออกก่อนจะแก้เชือกที่พันข้อเท้า ทันทีที่เป็นอิสระเธอก็ผลักประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นที่กักขังเธอออกอย่างแรงแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

เฟรินรีบวิ่งไปยังท้องพระโรงอันเป็นที่ประกอบพิธีก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้เห็นภาพชายคนรักที่บัดนี้กลายร่างเป็นซาตานไปเสียแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปทันทีแต่จู่ๆก็มีมือหนึ่งมาดึงตัวเธอเอาไว้เสียก่อน
"เฟริน!! แกยังไม่ตายหรอ!?" คิลกล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคาโลถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้" เฟรินถามด้วยความร้อนรนโดยไม่ได้สนใจคำถามของเพื่อนเลย
"ก็เพราะมันคิดว่าแกตายแล้วน่ะสิ แต่ มันเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี๊เราทุกคนเห็นกับตาว่าแกโดนบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว" คำอธิบายของคิลทำให้เฟรินเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นทันที เธอรีบวิ่งตรงเข้าไปยืนตรงหน้าของคาโลก่อนจะตะโกนเสียงดัง
"คาโล!! ฉันอยู่นี่ ฉันยังไม่ตาย นายได้ยินมั้ยว่าฉันยังไม่ตาย ฉันเฟริน เดอเบอร์โรว์คู่หมั้นของนายยังอยู่ตรงนี้!" ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงมีสายตาที่ว่างเปล่าและดูไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอด้วยซ้ำ เฟรินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาตรงๆ แต่ทันทีที่เธอพยายามจะเอื้อมมือไปสัมผัสเขาคาโลก็สะบัดคทามาทางเธออย่างแรงทำให้เธอโดนแรงอัดจากพลังกระแทกจนกระเด็นมากองอยู่กับพื้น
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคุยกับเขาหรอก เพราะตอนนี้เขาก็เป็นแค่หุ่นเชิดที่ไร้จิตใจของฉันเท่านั้นแหละ" เจ้าชายอาเธอร์ก้าวออกมาจากฝูงชนก่อนจะเดินตรงไปทางคาโล
"แก!" คิลแยกเขี้ยววับพร้อมทำท่าจะพุ่งเข้าใส่อาเธอร์แต่แล้วความพยายามก็ล้มไม่เป็นท่าเมื่ออาเธอร์ออกคำสั่งกับคาโลทำให้คิลโดนแรงกระแทกจากพลังกระเด็นไปนอนบนพื้นอีกราย
"ฮ่าๆๆๆ ฉันบอกแล้วไงว่าตอนนี้คาโลอยู่ในความควบคุมของฉันแล้ว พวกแกมันโง่ที่พยายามให้เขาซ่อนเร้นส่วนที่มีพลังมากมายมหาศาลเอาไว้ ตอนนี้ ฉันจะทำในสิ่งที่พวกแกไม่กล้าทำแทนเอง ทั่วทั้งเอเดนและเดมอสจะต้องมาสยบแทบเท้าของฉัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พูดจบก็เดินเข้าไปหาคาโลก่อนทั้งคู่จะหายตัวไปพร้อมกันทันที


เฟรินลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงไปที่ทางออกทันทีแต่ยังไม่ทันถึงประตูทางออกเธอก็ถูกรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
"เธอจะไปไหนน่ะเฟริน" โร เซวาเรสนั่นเองที่เป็นคนรั้งเธอเอาไว้ เฟรินหันกลับมาเขาพร้อมพยายามแกะมือของเขาออก
"ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปตามคาโล!!"
"เธอจะบ้ารึไง เมื่อกี๊เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้คาโลไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ขืนเธอไปหาเขาตอนนี้เขาอาจจะทำร้ายเธอขึ้นมาอีกก็ได้นะ"
"ฉันไม่สน ฉันจะไม่ยอมให้คาโลต้องตกเป็นเครื่องมือของคนชั่ว ฉันจะไปช่วยเขา!" เฟรินตะโกนเสียงดังแล้วพยายามยื้อแขนออกจากการกอบกุมของโรอย่างเอาเป็นเอาตายจนโรเวนต้องเข้ามาช่วยปรามอีกแรง
"เฟริน ใจเย็นๆก่อน ขืนเธอผลีผลามเข้าไปหาเขาตอนนี้มันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจมั้ย" คำพูดของโรเวนดูมีเหตุผลทำให้เฟรินเริ่มใจเย็นลงได้ เธอพยักหน้าอย่างหมดแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น
"ทีนี้เล่าให้ฟังได้รึยัง ว่าทำไมแกถึงยังไม่ตายน่ะ?" คิลถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"ฉันยังไม่ตายก็เพราะว่าที่ตายนั่นมันไม่ใช่ฉันน่ะสิ หรือถ้าจะพูดให้ถูกไอ้ที่สลายเป็นผุยผงไปน่ะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ"
"แล้วถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะคะ?" วิเวียนถามขึ้นบ้าง
"มันเป็นหุ่นที่ถูกเสกขึ้นมาให้เหมือนกับฉันน่ะสิ"
"ถึงว่าล่ะ ฉันแซวอะไรไปก็ไม่หือไม่อือ นึกว่าเดี๋ยวนี้สวยแล้วหยิ่งซะอีก" โรเวนกล่าวขึ้นขำๆ
"แล้วในระหว่างทำพิธีพี่หญิงอยู่ที่ไหนล่ะคะ"
"ฉันก็ถูกอาเธอร์จับขังเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าน่ะสิ ฉันพยายามแก้มัดตัวเองจนในที่สุดก็หลุดออกมาได้ตอนที่ทุกคนเห็นฉันนั่นแหละ" 
"จากเท่าที่เห็น อาเธอร์เตรียมการมาเป็นอย่างดี แสดงว่าเขาต้องวางแผนไว้นานแล้วแน่ๆ ว่าแต่เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน" โร เซวาเรสกล่าว
"คาโลในเวลาปกติทรงพลังมากก็จริง แต่นั่นไม่อาจเทียบอะไรได้เลยกับคาโลในยามขาดสติ พลังมหาศาลที่ถูกซ่อนอยู่ภายในจิตใจส่วนลึกของเขานั้นอาจจะมากพอที่เอาชนะเอวิเดสได้เลยทีเดียว" โรเวนกล่าวขึ้นมาพลางนึกย้อนไปถึงครั้งที่พวกเขาปะทะกับเผ่าคนแคระกินคนแห่งหุบเขาหัวกะโหลก
"ว่าแต่ เจ้าชายอาเธอร์ควบคุมเจ้าชายคาโลได้ยังไงล่ะคะ?" คำถามนี้ทำให้ทุกคนต้องครุ่นคิดกันอย่างหนักจนเมื่อโร เซวาเรสเหลือบไปเห็นถ้วยใส่น้ำพิพัฒน์สัตยาที่หล่นอยู่บนพื้นนั่นก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก โรเดินไปหยิบแก้วมาถือไว้ในมือก่อนจะอธิบายให้แก่ทุกคนฟัง
"นี่ไง สาเหตุที่ทำให้อาเธอร์ควบคุมคาโลได้ เขาต้องแอบใส่น้ำยาสะกดใจไว้ในน้ำพิพัฒน์สัตยาที่คาโลดื่มไปแน่ๆ และเมื่อคาโลขาดสตินั่นก็ทำให้เขาถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์"
"แล้วเราจะทำให้เขาหลุดพ้นจากการควบคุมได้ยังไง?" เฟรินถามขึ้น
"มันต้องมีบางอย่างที่มากระทบใจเขามากพอ บางอย่างที่จะดึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาได้"
"แล้วมันคืออะไรล่ะ?
"เธอไงเฟริน เธอคือคนที่คาโลรักมากที่สุด เธอเป็นคนเดียวที่จะสามารถดึงตัวตนที่แท้จริงของคาโลให้หลุดพ้นออกจากการควบคุมของอาเธอร์ได้ แต่นั่นมันไม่ง่ายเลย ก่อนอื่นเราต้องหาทางเข้าใกล้เขาให้ได้มากพอก่อน"
"ใช่ งานนี้ ถ้าเข้าไปตรงๆไม่ได้ ก็คงต้องใช้เล่ห์กลกันหน่อยแล้วล่ะ" โรเวนกล่าวขึ้นพร้อมยิ้มจุดประกายความหวังของทุกคนขึ้นมาทันที


กองทัพพิชิตเดมอสที่ตั้งขึ้นโดยปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน ออฟซาเรสแน่นขนัดไปด้วยเหล่านักรบจากทั่วทุกสารทิศ บ้างก็มาเพราะอยากพิชิตเดมอส บ้างมาเพื่อเงิน บางคนก็มาเพราะถูกบังคับ หรือไม่ก็มาเพราะความกลัว กลัวในฤทธาของซาตานในความควบคุมของปรินซ์อาเธอร์ ซาตานที่ไร้ซึ่งความปราณี เขาอยู่เป็นทัพหน้าของกองทัพ ฝ่าบุกตะลุยผ่าเข้าไปยังเดมอสโดยมิเกรงกลัวสิ่งใด ใครที่อาจหาญมาขวางทาง มันผู้นั้นจะต้องพบกับความตาย เพียงโบกคทาครั้งเดียวข้าศึกก็ตายราบเป็นหน้ากลอง จะว่าไปแล้วเหล่าทหารที่มาร่วมทัพก็ทำหน้าที่แค่ประดับบารมีกองทัพให้ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามก็เท่านั้น คนส่วนมากเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพมากกว่าที่จะไปขวางคมมีด
โรเวน คิล โร และเฟรินนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ในมุมลับตาคนรอบนอกเรือนพักรับรองแขกของคนแคระดำแห่งหุบเขาหัวกะโหลกที่พากันหลีกทางให้แก่กองทัพแต่โดยดีเพราะพวกเขารู้ดีกว่าใครว่าฤทธิ์ของพ่อมดแห่งคาโนวาลนั้นร้ายกาจแค่ไหน ทั้งสี่คนได้ปลอมตัวแฝงเข้ามาเป็นทหารในกองทัพเพื่อที่จะหาโอกาสให้เฟรินได้เข้าไปหาคาโล
“คืนนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้วที่เราจะลงมือ เรือนพักที่นี่เราเคยพักมาก่อน เพราะฉะนั้นเรารู้ทางหนีทีไล่ดีกว่าพวกมันแน่ เฟริน เธอต้องใช้ทางลับนี้ขึ้นไปหาคาโลที่ชั้นบนของเรือนรับรอง ส่วนพวกฉันสามคนจะคอยดูต้นทางให้เอง” โรเวนกล่าวพลางชี้ทิศทางลงบนแผนที่ที่เขาเป็นคนวาดขึ้นมาเอง
“คิล นายจัดการยามที่เฝ้าประตูหลังเปิดทางให้เฟรินเข้าไป โร นายคอยจับตาดูยามที่เฝ้าประตูหน้าไว้ ฉันจะคอยเผ้าอาเธอร์ไว้เอง หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นให้เป่าปากส่งสัญญาณเสียง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงสัญญาณให้รีบกลับมารวมกันที่นี่ทันที ตกลงตามนี้นะ” ทุกคนพยักหน้าลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัดเพราะหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นนั่นอาจหมายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
“งั้นเราไปลุยกันเลยเถอะ!” เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คิลจัดการเปิดทางให้เธอเข้ามาในเรือนพักได้สำเร็จ เฟรินงัดวิชาตีนเบาประจำตัวหัวขโมยขึ้นมาใช้ เธอย่องอย่างเงียบกริบขึ้นไปยังชั้นบนแล้วตรงเข้าไปในห้องว่างที่อยู่ข้างห้องของคาโลแล้วออกไปยังระเบียงก่อนจะปีนไปยังระเบียงของห้องคาโลแล้วย่องเข้าไปในห้องได้สำเร็จ ภาพแรกที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างอันคุ้นเคยที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่
“คาโล..........” เธอลองเรียกคาโลดูอย่างไม่แน่ใจ
“นี่ฉันเองนะ เฟริน เดอเบอโรว์ คู่หมั้นของนายไง” พูดพลางค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าถึงตัวจู่ๆคาโลก็หมุนตัวกลับมาอย่างกระทันหันทำให้เธอผงะ ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์ขึ้น ทันใดนั้นเฟรินก็รู้สึกราวกับมีมือล่องหนมาบีบคอของเธออยู่ เธอเอามือมาจับที่คอของตนเองทันทีเพื่อพยายามจะแกะมือล่องหนนั่นออกแต่ก็ไม่เป็นผล ตัวของเธอค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นเรื่อยๆ
”คะ.....คาโล นี่ฉันเอง เฟรินไง นะ...นายจำไม่ได้หรอ” ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงจ้องเขม็งไปยังร่างที่บัดนี้ลอยอยู่กลางห้องตาไม่กระพริบ ใบหน้าของเฟรินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะขาดอากาศหายใจ และในวินาทีที่เธอกำลังจะหมดลมจู่ๆแรงบีบที่คอก็หายไป ร่างของเธอร่วงลงไปนอนกองบนพื้นหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรง
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่ส่งมาจากใครซักคนในสามคนนั้น เฟรินรีบพยุงตัวขึ้นแล้วพุ่งตัวหมายจะกลับออกไปทางระเบียง แต่ฉับพลันประตูก็ปิดใส่หน้าเธอดังปัง ร่างของเธอถูกแรงอัดกระแทกเข้ากับประตูก่อนที่ร่างของคาโลจะตามมาประกบติดๆ มือใหญ่บีบแขนทั้งสองข้างของเธออย่างแรงจนเจ็บไปหมด
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะคาโล ปล่อยฉันสิ!” ตามคำขอ คาโลเหวี่ยงร่างเฟรินลงกลางพื้นห้องอย่างแรง

“หึ พวกแกคิดจริงๆน่ะหรอ ว่าฉันไม่รู้ว่าพวกแกแอบปลอมตัวเข้ามาเป็นทหารในกองทัพฉันน่ะ” ปรินซ์อาเธอร์กล่าวกับโรเวน คิลและโรที่ถูกจับมัดไว้รวมกัน
“แล้วเราจะเอายังไงกับธิดาแห่งความมืดที่กำลังเข้าไปหาเจ้าชายคาโลดีครับ” ทหารคนสนิทคนหนึ่งถามขึ้น
“แกอย่าบังอาจทำอะไรเฟรินเป็นอันขาดนะ!!” คิลโพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดอยู่รอบตัว
“หึ ฉันไม่เปลืองแรงไปจัดการหรอกเพราะยังไงซะคาโลก็จัดการแทนฉันอยู่แล้ว เผลอๆอาจจะหนักกว่าให้ฉันเป็นคนจัดการเองซะอีกนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสามคนหวาดวิตกกับชะตากรรมของเฟรินไปตามๆกัน

ตอนนี้คาโลตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด หรือกำหนัด.......อะไรบางอย่างในตัวเฟรินกระตุ้นความกำหนัดในตัวเขาอย่างแรงกล้า ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวคือเขาต้องการผู้หญิงคนนี้ และเขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไหนง่ายๆแน่
ภาพคาโลที่ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาหาเธอพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อลงทีละเม็ดทำให้เฟรินรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ความทรงจำเมื่อครั้งที่คาโลเมาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆจนทำให้เธอตระหนก เฟรินกระเถิบตัวหนีโดยอัตโนมัติ เธอถอยหนีไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีหลังก็ติดกับผนังห้องเสียแล้ว เธอหันไปมองกำแพงอย่างตกใจแต่ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อหันกลับมาพบกับใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามาใกล้เธอจนจมูกชนกัน วงแขนแกร่งกักตัวเธอไว้ทั้งสองด้านจนไม่สามารถหนีไปไหนได้ จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนจะขบเม้มลงไปแรงๆจนทำให้เฟรินเจ็บจนต้องเผลอส่งเสียงร้องออกมา
“คาโลหยุดนะ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” เฟรินพยายามผลักร่างหนาให้ออกไปพ้นจากตัวแต่คาโลกลับยึดข้อมือทั้งสองของเธอไว้แล้วกดเข้ากับกำแพง ริมฝีปากหยักฉกลงมาช่วงชิมความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มด้วยความหิวกระหาย รสจูบอันหยาบโลนทำให้เฟรินยิ่งตระหนกมากกว่าเดิม เมื่อมือถูกพันธนาการไว้เธอจึงใช้เท้าที่เป็นอิสระยันเข้าให้ที่กลางอกจนคาโลกระเด็นไปข้างๆ เธอรีบใช้โอกาสนี้วิ่งตรงไปยังประตูห้องแต่ความไวของหัวขโมยมีหรือจะสู้ความเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของซาตาน คาโลตะครุบตัวเธอไว้ก่อนจะจับกดลงบนพื้นแล้วตามมาคร่อมทับทันที ความพยายามที่จะหนีของเฟรินทำให้คาโลโมโหขึ้นมา เขากระชากเสื้อของเธอออกอย่างแรงจนขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะก้มลงขบกัดยอดอกสีทับทับทิมอย่างแรงจนเธอน้ำตาไหล มือแกร่งก็ไม่ปล่อยให้ว่างจัดการกับเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของเธอจนหมดสิ้นก่อนจะส่งนิ้วหยาบเข้าไปทักทายกับส่วนล่างอย่างช่ำชอง ส่วนมืออีกข้างก็บีบขยำทรวงอกอิ่มอย่างเมามัน
เมื่อหยอกล้อกับร่างกายของเธอจนพอใจแล้วคาโลก็จัดการถอดเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของตนออกจนหมดก่อนจะจับแก่นกลางกายที่แข็งขืนเต็มที่ถูไถเข้ากับปากทางรักของหญิงสาว
“ฮรึก คาโล อย่าทำอย่างนี้เลยนะฉันขอร้อง สุดท้ายคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือตัวนายเองนะ” เฟรินกล่าวทั้งน้ำตา มือเรียวดันอยู่ที่หน้าท้องแกร่งแต่คาโลก็ไม่ได้สนใจเธอแต่อย่างใด มือหนาจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอรวบขึ้นไว้เหนือหัวก่อนจะก้มลงประกบจูบปิดปากแล้วดันส่วนแข็งขืนเข้าไปทีเดียวจนสุด เฟรินสะดุ้งเฮือกผวารับสิ่งใหญ่โตที่รุกล้ำเข้ามาในกายเธออย่างกระทันหัน คาโลขยับสะโพกทันทีอย่างคนเอาแต่ใจโดยไม่สนใจว่าเธอจะพร้อมหรือไม่ ปลายเท้าเรียวจิกลงกับพื้นอย่างพยายามเกร็งต้านความเจ็บ เปลือกตาบางปิดลงอย่างจำใจปล่อยให้น้ำตารินไหลลงมาไม่ขาดสาย ถึงแม้ปากของเธอจะโดนประกบปิดอยู่ด้วยปากหยักแต่เสียงสะอื้นปนเสียงครางก็ยังหลุดรอดออกมาเป็นระยะเพราะความรุนแรงของคนบนร่างที่โถมเข้าหาเธออย่างไม่ลดละราวกับราชสีห์กระหายเลือดที่หิวโซมาหลายวัน
“ อึก อ้ะ ฉะ ฉันเจ็บ......” คาโลผละจูบออกแล้ว มือแกร่งปล่อยให้มือเธอเป็นอิสระแต่เปลี่ยนมาจับขาของเธอให้แยกออกกว้างแทน เขารั้งสะโพกอิ่มกระแทกเข้าหาตัวอย่างแรงทำให้แก่นกายเข้าไปได้ลึกจนเฟรินรู้สึกจุกไปหมด มือเรียวที่เพิ่งเป็นอิสระยื่นไปดันหน้าท้องแกร่งเอาไว้หวังจะช่วยให้สะโพกแกร่งผ่อนแรงลงได้บ้างแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคาโลยังคงกระแทกกระทั้นเข้าหาเธออย่างรุนแรงแถมยังเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าใกล้จะปลดปล่อยเต็มทีจนเฟรินสั่นคลอนไปทั้งร่าง มือเรียวจึงจำต้องเปลี่ยนมาจับอยู่ที่แขนแกร่งแทนเพื่อเป็นหลักยึด
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา คาโลลลลลลล” มือเรียวจิกเล็บลงแขนแขงแกร่งก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเมื่อคาโลเร่งความเร็วจนถึงจุดสูงสุดแต่จู่ๆเขาก็หยุดกระทันหันแล้วถอดถอนตัวตนออกจากตัวเธอ มือแกร่งดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะจิกลงบนกลุ่มผมทำให้เธอเชิดหน้าขึ้น เขาจ่อตัวตนเข้าที่ริมฝีปากอิ่มจึงทำให้เธอรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร เฟรินพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่คาโลกลับใช้มือบีบคางของเธอไว้แล้วบังคับให้เธอเปิดปากออกก่อนจะดันตัวตนเข้าไปจนกระแทกกับเพดานปาก มือแกร่งจับหัวของเธอให้ขยับเร็วๆก่อนที่เขาจะปลดปล่อยเข้าไปในปากเธอจนล้น เฟรินเผลอกลืนน้ำรักบางส่วนเข้าไปด้วยความตกใจก่อนจะสำลักบางส่วนออกมาทำให้มันหยดเลอะเทอะไปทั่วตัว
ภาพปากอิ่มบวมแดงและร่างเปลือยเปล่าขาวเนียนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักของเขาเองกระตุ้นให้ไฟราคะในตัวลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว คาโลอุ้มเฟรินขึ้นมาจากพื้นก่อนจะโยนลงบนเตียงกว้างอย่างไม่ปราณี เขาชันเข่าลงบนเตียงก่อนจะพลิกร่างบางให้คว่ำหน้าลงแล้วดึงสะโพกอิ่มเข้าหาตัว แก่นกลางกายที่แข็งชันขึ้นอีกครั้งสอดรับเข้าพอดีกับสะโพกอิ่มที่ถูกรั้งเข้ามาแล้วเริ่มกระแทกอย่างรัวเร็วทันทีทำให้เฟรินต้องรีบเอามือจับหัวเตียงเอาไว้เพื่อประคองตัว มือแกร่งบีบขยำแก้มก้นมนแล้วช่วยเน้นย้ำให้ตัวตนของเขาเข้าไปได้ลึกมากขึ้นทุกครั้ง มือแกร่งดันสะโพกอิ่มออกจนเกือบสุดความยาวแกนกายของเขาแล้วดึงรั้งกลับมาให้กระแทกหน้าขาอย่างแรง เฟรินสะดุ้งเฮือกเมื่อตัวตนของคาโลกระแทกตรงจุดสำคัญพอดี คาโลยังคงทำแบบเดิมซ้ำเรื่อยๆแต่เร่งความเร็วและความแรงขึ้นจนเฟรินทนไม่ไหว ร่างบางกระตุกเกร็งสองสามครั้งก่อนจะปล่อยน้ำใสๆให้ไหลออกมาจากช่องทางรักจนเปียกที่นอนไปหมด มือเรียวหมดแรงที่จะยึดเกาะกับหัวเตียงทำให้ร่างบางหล่นลงไปฟุบกับหมอน แต่สะโพกอิ่มยังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ถึงแม้เธอจะถึงจุดสูงสุดไปแล้วแต่คาโลยังคงไม่ได้ปลดปล่อย เขารั้งสะโพกอิ่มเอาไว้แล้วกระแทกรัวแรงกว่าเดิมจนเฟรินต้องจิกหมอนเอาไว้แน่น เพราะเธอปลดปล่อยไปแล้วทำให้ตอนนี้หลงเหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ ยิ่งคาโลกระแทกเข้ามาลึกเท่าไหร่เธอก็ยิ่งจุกจนน้ำตาไหล เฟรินทำได้เพียงซบหน้าเข้ากับหมอนเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ความอุ่นร้อนที่วาบขึ้นในช่องท้องทำให้เธอรู้ว่าคาโลปลดปล่อยแล้ว เธอค่อยๆคลายมือที่จิกหมอนออกด้วยความโล่งใจแต่แล้วก็ต้องจิกลงไปใหม่เมื่อเขายังไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ความต้องการของเขามีมากมายแค่ไหนแต่ดูเหมือนทันทีที่ปลดปล่อยออกไปแก่นกายใหญ่ก็แข็งขืนขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เธอได้แต่บอกตัวเองว่าอีกไม่นานมันก็จะจบลง อีกไม่นาน น้ำตาของเธอจะได้หยุดไหลเสียที สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่หลับตาลงแล้วหวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง คาโลจะกลับมาเป็นคนเดิม.............



มาลงล้าววววว กรี๊ดดดดด ในที่สุดดด ตอนที่คิดพลอตไว้ชาติกว่าก็แต่งเสร็จซักที คือชอบมาก ใครไม่ชอบเราไม่รู้แต่เราชอบ 555555555555555555555555555555555555

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 3 : เบื้องหลัง

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A          


สัมผัสเปียกๆที่บริเวณใบหน้าทำให้สาวน้อยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงรู้สึกตัว เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบกับใบหน้าหวานของเรนอนที่เป็นคนเช็ดตัวให้เธออยู่
"อ้าว ตื่นแล้วหรอจ๊ะเฟริน"
"ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วนี่กี่โมงแล้ว" เฟรินมองไปรอบๆก่อนจะพบว่าตนอยู่ในห้องของตนเองกับเรนอนแทนที่จะเป็นห้องของคาโล
"ก็คาโลอุ้มมาส่งน่ะสิ แล้วนี่ก็สิบเอ็ดโมงแล้วจ้ะ"
"อะไรนะ! โอ๊ย!!" คำตอบของเรนอนทำเอาคนเพิ่งตื่นตาลุกโพลงกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันทีอย่างไม่เจียมตัว ความเจ็จากช่วงท้องแล่นริ้วขึ้นมาจนทำเอาทรงตัวแทบไม่อยู่ล้มลงมากองอยู่บนเตียงตามเดิม
"ใจเย็นๆสิคะคุณเฟริน คุณเฟรินเจ็บอยู่จะรีบลุกขึ้นมาทำไมกัน"
"ก็จะไม่ให้รีบได้ยังไงเล่า ก็วันนี้มีเรียนกับอาจารย์แม่มดวิงกี้สุดโหด ฉันขาดเรียนไปดื้อๆแบบนี้ มีหวังโดนทำโทษสาปให้เป็นตัวเฟเรตแน่เลย"
"อ่อ ก็นึกว่าตกอกตกใจเรื่องอะไร ถ้าเรื่องอาจารย์แม่มดวิงกี้คุณเฟรินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คาโลจัดการลาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วอีกอย่างทุกคนก็รู้กันทั้งนั้นว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณเฟริน อาจารย์ท่านคงจะเข้าใจแหละค่ะ"
"ห้ะ รู้เรื่องเมื่อคืนงั้นหรอ?" เฟรินถามขึ้นด้วยความตกใจเพราะคิดว่าเรื่องเมื่อคืนหมายถึงเรื่องเธอกับคาโล........
"ก็ใช่น่ะสิคะ เรื่องที่คุณเฟรินโดนนายคนเดินหมากจากปราสาทขุนนางทำร้ายน่ะ เค้ารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ นายนั่นจะต้องถูกลงโทษแน่นอน เรื่องนี้ท่านเลโมธีรับทราบแล้ว และกำลังดำเนินการตัดสินโทษอยู่"
"อ่อ........งั้นหรอ" โล่งไปที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องไอ้บ้ามาร์คัสนั่นนี่เอง
"ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูเรียกให้สาวน้อยทั้งสองในห้องหันไปสนใจมอง
"เป็นไงบ้างล่ะแกน่ะ ยังไม่ตายใช่มั้ย" คีล ฟีลมัสเพื่อนรักนักฆ่าแห่งซาเรสทักขึ้นให้คนป่วยรู้สึกเหมือนเท้าจะกระตุกหันไปแยกเขี้ยววับให้
"นอกจากจะยังไม่ตายแล้วยังมีแรงมากพอจะกระทืบคนด้วยนะ อยากลองมั้ยล่ะ?" พูดไม่ทันขาดคำดีก็ทำท่าจะยันโครมเข้าให้ที่หน้าอกเพื่อนรัก แต่แค่ยกขาขึ้นก็รู้สึกเจ็บร้าวขึ้นมาทันทีจนต้องร้องออกมาเสียงดัง
"โอ๊ย!!!"
"เฟริน!" เสียงคาโลร้องเรียกเธออย่างตกใจเมื่อเข้ามาได้ยินเฟรินร้องเสียงดังพอดี เขารีบปราดเข้ามาประคองเธอไว้อย่างเป็นห่วงจนเพื่อนๆต้องแอบกลั้นยิ้ม
"เป็นอะไรมากรึเปล่า เจ็บมากมั้ย"
"เอ่อ.....ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ" เอ่ยตอบอย่างเขินๆแล้วพยายามหลบนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง
"เห้ออออ เราไปกินข้าวกันดีกว่าเรนอน ตอนนี้เฟรินคงไม่ต้องการเราแล้วล่ะ มีหมอคอยดูแลแบบส่วนตัวขนาดนี้ คงจะหายเร็วกว่าให้เราดูแลเป็นสิบเท่า เอ๊ะ หรือจะหายช้าเพราะมัวแต่รักษาด้วยท่าแปลกๆกันนะ...."
"ไอ้คิล!! หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ จะไปกินข้าวกินหญ้าที่ไหนก็ไปเลยไป๊!!" โวยวายพลางโยนหมอนเข้าใส่เพื่อนไม่ยั้งจนหลบแทบไม่ทัน คิลหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะโอบไหล่เรนอนแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่หัวขโมยขี้เขินให้นอนแก้มแดงเป็นลูกตำลึงอยู่กับเจ้าชายน้ำแข็งที่มองมาด้วยสายตาพราวระยับพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ยิ้มบ้าอะไรของนายห้ะ!"
"ก็ตอนเธอเขิน มันน่ารักดีนี่" กระซิบแผ่วเบาพร้อมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกัน การกระทำของคาโลยิ่งทำให้แก้มที่แดงอยู่แล้วของเฟรินแดงยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานเสหลบไปด้านข้างเพราะเขินอายเกินกว่าจะทนมองหน้าของคาโลไหวยิ่งทำให้คนขี้แกล้งได้ใจอยากแกล้งมากกว่าเดิม
"ว่าแต่......คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง มามะมาให้หมอตรวจอาการหน่อย จะได้รู้ว่าต้องรักษาด้วย ท่าไหน" กล่าวพลางจมูกคมก็เริ่มก้มลงซุกไซร้ไปทั่วซอกคอขาวที่บัดนี้มีรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วจากฝีมือของเขาเองเมื่อคืนนี้ ปากหยักพรมจูบแผ่วเบาทับรอยแต่ละรอยเพื่อตอกย้ำแสดงความเป็นเจ้าของจนเฟรินเริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับเขาด้วย แต่แล้วเธอก็ได้สติเมื่อมือใหญ่เริ่มปลดกระดุมเสื้อนอนตัวบางของเธออย่างรวดเร็ว เฟรินรีบดันหน้าอกของคาโลออกทันที
"ไม่เอานะคาโลลลล ฉันระบมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย" กล่าวด้วยเสียงออดอ้อนพร้อมทำหน้าดุๆอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าจะทำให้คาโลกลัวได้ แต่ตรงกันข้ามนอกจากมันจะไม่ได้น่ากลัวแล้วเขากลับคิดว่ามันน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวจนอยากจะจับมาฟัดให้หนำใจอีกต่างหาก
"ก็ใครใช้ให้เธอมายั่วฉันก่อนเองล่ะ" กล่าวพลางก้มลงคลอเคลียไม่ห่างจากริมฝีปากอวบอิ่มที่ตอนนี้บวมช้ำนิดหน่อยจากสมรภูมิรักอันดุเดือดเมื่อคืนทำให้เฟรินต้องดันใบหน้าคาโลให้ห่างจากตัวอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
"ฉันทำไปก็เพราะฤทธิ์ยาทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจทำซักหน่อย"
"นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจ ยังทำฉันคลั่งได้ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าตั้งใจจะขนาดไหนกันนะ......." ริมฝีปากหยักก้มลงประทับจูบแผ่วเบาทำให้เฟรินต้องหลับตาพริ้มรับจูบแต่โดยดี
"เธอรู้มั้ย...."ผละออกมาพูดก่อนจะประกบจูบลงไปอีกหนึ่งครั้ง
"ไม่ว่าเธอจะทำอะไร....." อีกหนึ่งครั้ง......
"มันก็เป็นการยั่วฉันทั้งนั้นแหละ....." และอีกครั้ง......
"ไม่ว่าจะตอนที่เธอยิ้ม" ปากหยักเปลี่ยนมาพรมจูบที่บริเวณสันกราม
"ตอนที่เธอโกรธ" ไล้ขึ้นไปเรื่อยๆยังขมับ
"หรือตอนที่เธอครางเรียกชื่อฉัน" กระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูด้วยเสียงแหบพร่าทำเอาเฟรินขนลุกซู่ไปหมด 
"รู้มั้ยว่ามันทำให้ฉันอยากขย้ำเธอขนาดไหน" คาโลผละออกจากตัวของเฟรินแล้วแต่สายตาที่มองมายังเธอราวกับจะกลืนกินไปทั้งตัวนั้นทำให้เธอถึงกับต้องแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก 
"แต่ฉันก็ต้องรู้จักหักห้ามใจตัวเองถ้าไม่อยากให้เธอระบมไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ได้เวลากินข้าวแล้วล่ะ จะได้กินยา" กล่าวพลางหันไปจัดการกับถาดอาหารที่เขาถือมาให้เฟรินตั้งแต่ตอนแรกทำให้เฟรินถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว

"อิ่มแล้วล่ะ" เฟรินกล่าวขึ้นทำให้คาโลที่กำลังจะตักข้าวป้อนเธออีกคำต้องชะงักมือลง
"อิ่มได้ยังไง เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเองนะ" ปกติเฟรินกินจุอย่างกับอะไรดี ครั้งนี้อาการคงหนักจริงๆถึงกับกินข้าวไม่ลงมันทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
"ก็......ก็คนมันอิ่มแล้วนี่จะให้ทำยังไงเล่า" จริงๆแล้วเธอไม่ได้อิ่มหรอก แต่เพราะคาโลที่เอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบ มองตามปากทุกครั้งที่เคี้ยวขนาดนี้ ใครมันจะไปกินลงกัน
"ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็กินยานี่ซะ" คาโลยื่นถ้วยใส่ยามาให้พร้อมกับน้ำเปล่าเต็มแก้ว เฟรินจึงรับมากินแต่โดยดีก่อนจะยื่นแก้วน้ำคืนให้คาโล
"กินยาเสร็จแล้วก็พักผ่อนซะ ฉันต้องรีบไปเรียนต่อแล้ว" กล่าวพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่เฟรินกลับรั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อนทำให้คาโลต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษ? เรื่องอะไร?"
"ก็เรื่องที่ฉันไม่ยอมเชื่อนายแต่แรกไง ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันยอมฟังนายดีๆก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
"ไม่หรอก แต่สัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้มั้ย ว่าจะไม่ดื้อกับฉันอีก" กล่าวพลางลูบหัวทุยสวยของเฟรินเบาๆ เฟรินยกมือขึ้นจับมือที่กำลังลูบหัวเธออยู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างแข็งขัน
"อื้อ! ได้เลย ต่อไปนี้เฟริน เดอเบอโรว์คนนี้จะเป็นเด็กดี ไม่ว่าคาโลจะสั่งให้ทำอะไรก็จะยอมทำตามทุกอย่างเลย!" กล่าวเสียงสดใสพร้อมส่งยิ้มให้จนตาหยี
"จะยอมทำตามทุกอย่างจริงๆหรอ?" กล่าวเสียงเจ้าเล่ห์แล้วเลื่อนมือที่อยู่บนหัวเฟรินลงมาเชยปลายคางมนแทน ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนเฟรินเริ่มหายใจติดขัด เธอรีบดันตัวคาโลออกแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทันที
"นายไปเรียนได้แล้วไป บอกเองไม่ใช่หรอว่าถ้ากินยาเสร็จแล้วให้ฉันรีบพักผ่อนน่ะ"
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ งั้นฉันไปล่ะ" พูดกลั้วหัวเราะแล้วจู่ๆก็จู่โจมจุ๊บเข้าที่แก้มนวลแล้วเดินออกไปพร้อมหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีทิ้งให้คนโดนขโมยหอมแก้มนอนบิดตัวเขินไปมาอยู่คนเดียว
"ฮึ่ย! กะจะให้เขินจนตัวระเบิดตายไปเลยรึไงห้ะ อิตาเจ้าชายน้ำแข็งงี่เง่า!"


"คิง ดีหก รุกฆาต!" สิ้นเสียงของเฟรินผู้เดินหมากกระดานเกียรติยศ คาโลในฐานะคิงก็หายตัวไปปรากฏในเขตแดนดีหกทันที คทาหัวลูกแก้วสีดำปักลงบนพื้นดินก่อนจะเริ่มร่ายมนตร์ทำให้พายุหิมะลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น พายุเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทางคิงของปราสาทขุนนาง ทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัวถูกดูดหายเข้าไปในพายุทันที
สัญญาณธงที่ยกขึ้นยอมแพ้จากผู้เดินหมากของฝ่ายปราสาทขุนนางทำให้คาโลหยุดร่ายเวทย์ทันที ร่างขาวซีดที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งของคิงปราสาทขุนนางตกลงบนพื้นดินก่อนจะอันตรธานหายไปด้วยเวทย์ของผู้ใช้เวทย์เพื่อนำตัวไปรักษา เสียงเฮกึกก้องดังลั่นขึ้นประกาศชัยชนะของป้อมอัศวินเรียกร้อยยิ้มขึ้นประดับบนใบหน้าของคิงผู้กำชัย แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามากอดอย่างแรงจนรู้สึกจุกหน่อยๆ
"เย้ๆๆๆๆๆ เราชนะแล้ว เราชนะแล้วววววว" กล่าวพร้อมกับกระโดดขึ้นลงทั้งๆที่ยังกอดคาโลไว้แน่นทำให้คาโลต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะโอบแขนรัดร่างเล็กไว้ในอ้อมอกให้แน่นขึ้น
"ยินดีด้วยนะที่เอาชนะปราสาทขุนนางได้สำเร็จ.........เพราะโชคช่วย" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่ต้องผละออกจากกันแล้วหันไปหาต้นตอของเสียงก็ปรากฏว่าเป็นปรินซ์อาเธอร์ ออฟซาเรส หัวหน้าปราสาทขุนนางนั่นเอง
"ท่านหมายความว่ายังไงที่ว่าโชคช่วย" เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
"เอ๊ะ.......หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องเป็น 'เจ้าชาย' ต่างหากที่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้" กล่าวพร้อมรอยยิ้มยียวนชวนให้คิ้วกระตุก
"ท่านจะพูดอะไรกันแน่ปรินซ์อาเธอร์" เฟรินเริ่มจะควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่โพล่งถามออกไปเสียงแข็ง
"ก็แค่อยากจะมาเตือน เพราะคราวหน้า เจ้าชายอาจจะขี่ม้าขาวมาช่วยไม่ทันก็ได้นะ" กล่าวจบก็แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วเดินหันหลังกลับไปทันที ทิ้งให้เฟรินที่หัวเสียอย่างหนักแทบพุ่งเข้าไปต่อยแต่ยังดีที่มีคาโลรั้งเอาไว้เสียก่อน
"ปล่อยนะ ฉันจะไปเอาเลือดปากมันออก!"
"ใจเย็นน่าเฟริน หมอนั่นอาจจะแค่แพ้แล้วพาลเลยมายุให้แกหัวเสียเล่นๆ ถ้าแกขืนทำร้ายมันขึ้นมาจริงๆอาจจะโดนปรับแพ้ก็ได้นะ" คิลที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆมาตลอดรีบเข้ามาช่วยคาโลปรามเฟรินไว้อีกแรง
"แต่ฉันสัมผัสได้ว่า อาเธอร์ไม่ได้แค่พูดยั่วโมโหเล่นๆนะ" คาโลเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนต้องหันไปสนใจ
"นายหมายความว่า......."
"เขาอาจจะหมายความตามที่พูดจริงๆ มาร์คัสเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่ง ต่อไปเขาอาจจะปล่อยไพ่อะไรออกมาจัดการกับเฟรินอีกก็ได้ ใครจะรู้
"อะไรกัน เขาสั่งให้มาร์คัสมาทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นกับฉันเพียงแค่ต้องการให้ปราสาทขุนนางชนะหมากกระดานเกียรติยศหรอ?"
"อาจจะใช่ หรือไม่มันก็อาจจะมีอะไรที่มากกว่าหมากกระดาษเกียรติยศก็ได้........."


ห้องนั่งเล่นรวมของป้อมอัศวินอึกทึกไปด้วยเสียงโหวกเหวกของนักเรียนปีสามที่กำลังฉลองชัยชนะกันอย่างสนุกสนาน อาหารมากมายถูกเหมามาจากโรงอาหารดรากอน แถมครี้ด ธันเดอร์ยังแอบติดสินบนแม่ครัวให้ซื้อสุราและของมึนเมาทั้งหลายแหล่มาให้อีกต่างหาก ดังนั้นสภาพของทุกคนในตอนนี้จึงเละเทะไม่ต่างอะไรกับสภาพของห้องนั่งเล่นเลย
"คุณคิลพอเถอะค่ะ คุณคิลเมาแล้วนะ" เรนอนกล่าวเป็นรอบที่สามพร้อมกับยื้อแก้วเหล้าของคิลไว้
"ใครบอกกัน ฉันยังม่ายมาวววววววว" คิลพูดด้วยเสียงยานคางที่ฟังยังไงก็เป็นเสียงของคนเมาทำเอาเรนอนเหนื่อยใจ
"ยังจะบอกว่าไม่เมาอีก หน้าแดงไปหมดแล้วเห็นมั้ย" กล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดซึมบนใบหน้าของคิลให้
"ก็ได้ๆ พอแล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณเรนอนพาฉันไปพักที เริ่มรู้สึกมึนๆหัวแล้วเหมือนกัน" พูดจบก็วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะทำให้เรนอนโล่งใจเป็นอย่างมากจึงรีบพยุงให้คิลลุกขึ้นยืนทันที ทุกการกระทำของทั้งคู่ล้วนอยู่ในสายตาอันเฉียบแหลมขอหัวขโมยอย่างเฟรินทั้งสิ้น
"จะไปนอนกันแล้วหรอ" เฟรินถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินผ่านหน้าเธอพอดี
"ใช่ค่ะคุณเฟริน คุณคิลเมามากแล้ว" คำตอบของเรนอนทำเอาเฟรินประหลาดใจไม่น้อย คนอย่างไอ้คิลเนี่ยนะเมามาก ปกติมันคอแข็งหยั่งกะอะไรดี ไม่มีทางที่กินไปแค่นั้นแล้วจะเมามากแน่ๆ แต่แล้วความสงสัยก็คลี่คลายลงเมื่อไอคิลมันกำลังทำปากขมุบขมิบส่งสัญญาณมาให้เธอยิกๆ เธอจึงถึงบางอ้อรีบพยักหน้าเออออให้เรนอน เรนอนจึงพยุงคิลเดินต่อไป แถมไอคิลยังหันกลับมาพูดขอบคุณแบบไม่มีเสียงแล้วขยิบตาให้เธออีกต่างหาก
"สงสัยคืนนี้นายจะไม่ได้กลับห้องซะแล้วล่ะคาโล" พูดพลางหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้คาโล
"หืม ทำไมล่ะ? หรือว่า........เธออยากให้ฉันอยู่กับเธอทั้งคืนหรอ?" คำกล่าวที่แหวกไปคนละทางทำเอาเฟรินที่กำลังยกเหล้าขึ้นจิบสำลักออกมาแทบไม่ทัน
"จะบ้าหรอ! เป็นเพราะไอ้คิลต่างหาก! มันแกล้งทำเป็นเมาแล้วให้คุณเรนอนไปส่งที่ห้อง นายคิดว่ามันจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ"
"อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคืนนี้ฉันจะกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องของเธอก็จะว่างด้วยสินะ....." กล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มของเธอก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนทำเอาเธอเริ่มหายใจติดขัด และด้วยความเขินอายเธอจึงรีบผลักอกของคาโลให้ออกห่างจากตัวก่อนจะรีบพูดแก้เขินออกมาเสียงดัง
"นายคิดบ้าอะไรของนายอยู่เนี่ย!"
"อ้าว ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ฉันกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องเธอก็ว่าง ถ้าไม่ให้ฉันไปนอนห้องเธอจะให้ฉันไปนอนที่ไหนล่ะ หรือจะให้ฉันนอนอยู่กับกองขยะในห้องนั่งเล่นรวมนี่หรอ?"
"ใครจะไปทำอย่างนั้นกับคู่หมั้นตัวเองลงกัน!"
"นั่นไง เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นคืนนี้ฉันก็ต้องไปนอนกับเธอก็ถูกแล้ว" กล่าวจบก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยให้ทำเอาเฟรินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สาบานสิว่าจะแค่นอนเฉยๆน่ะ โอ๊ย พวกผู้ชายนี่มันหื่นเหมือนกันหมดเลยรึไงนะ! อย่าให้กลับไปเป็นผู้ชายบ้างแล้วกัน!!!!!!!

เรนอนพยุงคิลมาจนถึงห้องของเขา เธอพยายามเปิดประตูด้วยมือข้างเดียวก่อนจะพยุงคิลเข้าไปในห้องอย่างทุลักทุเลโดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าคิลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบคอเธออยู่ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เรนอนพยุงเขาไปจนถึงเตียงก่อนจะพยายามประคองให้คิลนอนลงไปบนเตียงแต่เพราะทรงตัวไม่ดีหรือเพราะแรงฉุดก็ไม่อาจรู้ได้ทำให้ทั้งคู่ล้มลงบนเตียงอย่างแรง แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆคิลก็ผลักเธอให้มาอยู่ใต้ร่างของเขาแล้วกักเธอเอาไว้ในวงแขน นัยน์ตาสีม่วงสวยที่จ้องมายังเธอนั้นไม่เหมือนคนเมาเลยซักนิดแต่มันเหมือนกันคนที่กำลัง.......หิว มากกว่า
"คะ....คุณคิล...จะทำอะไรคะ" ถามออกมาด้วยเสียงสั่นๆอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะสายตาที่เปลี่ยนไปของคนบนร่างมันทำให้เธอขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก 
"ฉันรักเธอนะ เรนอน....." กล่าวพลางค่อยๆก้มหน้าลงมาหาทำเอาเรนอนต้องดันอกของเขาเอาไว้ทันที
"คุณคิลต้องเมามากแล้วแน่ๆ ปล่อยฉันเถอะค่ะ คุณคิลจะได้พักผ่อน"
"ฉันไม่ได้เมา" เสียงที่หนักแน่นของคิลทำให้เรนอนรู้สึกแปลกใจมากเพราะมันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เมาจริงๆอย่างที่พูด ถ้าอย่างนั้นแล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?
"ฉันแค่อยากให้คุณเรนอนมาส่ง เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนบ้าง........"
"ฉันรักคุณเรนอน แล้วฉันก็ต้องการคุณเรนอน......"
"เป็นของฉันเถอะนะ....." กล่าวจบก็ค่อยๆก้มลงช้าๆเพื่อรอดูว่าเรนอนจะมีท่าทีปฏิเสธหรือไม่ คิลใจเต้นถี่ขึ้นเมื่อเห็นว่าเรนอนค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสจากเขา เขาจึงประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากเรียวสวยอย่างแผ่วเบาราวกลับมันเป็นกลีบกุหลาบที่แสนบอบบาง จูบอันอ่อนหวานเริ่มผลันแปรเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆตามห้วงอารมณ์ของคนทั้งคู่ที่พุ่งขึ้นสูง คืนนี้ทั้งคู่จะเติมเต็มความรักให้แก่กันและเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์............

หอคอยที่สูงที่สุดของปราสาทขุนนางวันนี้ไร้ซึ่งผู้คน ประกอบกับท้องฟ้าที่มืดมิดไร้ดาวเพราะเป็นคืนเดือนมืดยิ่งทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบยิ่งขึ้นไปอีก แตกต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาอย่างลิบลับ เขาทำงานไม่สำเร็จ ท่านพ่อต้องไม่ไว้ใจให้เขาดำเนินการด้วยตัวเองแล้วแน่ๆ
เสียงรอยเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปมองก่อนจะพบกับบุคคลที่เขากำลังรอพบอยู่ ทหารส่งข่าวทำความเคารพเขาก่อนจะส่งม้วนกระดาษนำสาส์นจากคิงแห่งซาเรส พ่อของเขามาให้ เขารับมาถือไว้ในมือก่อนจะเปิดอ่านด้วยความกังวล

“แกทำงานพลาด ฉันผิดหวังในตัวแกมาก” แค่ประโยคแรกก็ทำเอาเขาใจเสียแล้ว
“แต่เรื่องที่มันพลาดไปแล้วในอดีตเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง” ประโยคต่อมาทำให้เขาใจชื้นขึ้นเป็นกองจึงรีบอ่านต่อทันที
“เป้าหมายของเรามีความแข็งแกร่งมากก็จริงแต่มันก็มีจุดอ่อนที่สำคัญมากเหมือนกันอย่างที่แกก็รู้ดีถึงได้พยายามใช้จุดอ่อนนั่นจัดการกับมันแต่ก็ล้มเหลวเพราะแผนการที่หละหลวมมากเกินไป แต่ครั้งนี้เราจะต้องทำสำเร็จเพราะทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอให้ถึงเวลาที่จะลงมือเท่านั้น”
“เวลาที่ว่าคืองานแต่งตั้งเจ้าชายรัชทายาทของคาโนวาล มันเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงตัวคาโลและจัดการกับเขาได้ง่ายที่สุด ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับงานแต่งตั้งจะเป็นช่องโหว่อย่างดีให้เราลงมือได้ แต่เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด  เพราะครั้งนี้หากเราพลาดนั่นอาจจะหมายถึงชีวิตและชะตากรรมของประเทศเราที่จะต้องตกอยู่ในอันตรายแทน”
“งานนี้หากเจ้าทำสำเร็จนอกจากซาเรสที่เจ้าจะได้ไปครอบครองแล้ว ทั่วทั้งเอเดน หรือแม้แต่เดมอสก็ต้องยอมมาสยบแทบเท้าเจ้า ฉะนั้นทำให้ดี ห้ามพลาดเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
เนื้อความในจดหมายจบลงแต่เพียงเท่านี้ มันจุดประกายความหวังให้โชติช่วงขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะทำให้แน่ใจว่าท่านพ่อจะไม่ผิดหวังในตัวเขาเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เขาทำการจุดไฟเผาม้วนกระดาษจนไหม้เกือบหมดก่อนจะทิ้งเศษกระดาษที่เหลือลงบนพื้นแล้วขยี้ให้เป็นผุยผงด้วยส้นรองเท้า
“ฝากกลับไปบอกท่านพ่อด้วยว่าวางใจได้ ครั้งนี้งานต้องสำเร็จแน่นอน ฉันสาบานด้วยเกียรติของปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน เจ้าชายใจสิงห์แห่งซาเรสเลย!


ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย พอดีเพิ่งจะสอบเสร็จก็รีบมาอัพให้ได้อ่านกันเลย ต่อไปเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะคะ จะมาอัพให้อ่านต่อกันเร็วๆนี้แน่นอน สุดท้ายนี้อย่าลืมคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นหรือให้กำลังใจกันนะคะ ^^







วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค2 ตอนที่2 : ถึงคราวฉันช่วยเธอบ้างแล้วล่ะ [NC 25+]

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


                     เสียงฮือฮาจากกลุ่มคนที่มุงอยู่รอบบอร์ดประกาศประจำป้อมอัศวินเรียกความสนใจจากเฟริน คิลและคาโลได้เป็นอย่างดี หัวขโมยตัวยุ่งรีบปราดเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพื่อหวังจะเห็นสิ่งที่ประกาศอยู่บนบอร์ดแต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะดูเหมือนจะไม่มีทางที่จะฝ่าวงล้อมเข้าไปได้เลย หัวขโมยตัวดีทำหน้ายุ่งอยู่เพียงครู่ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วเรียกคทาคู่ใจอันละสองพันคราวน์มาไว้ในมือ
                     "นั่นแกจะทำอะไรของแกน่ะ" คิล ฟีลมัสพูดขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ
                     "อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะใช้เวทย์ก๊อปปี้จากหนังสือที่เจ้ากวางนั่นให้มาอีก" คาโลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
                     "ใช่แล้ว! แต่พวกนายไม่ต้องเป็นห่วงไป คราวนี้ฉันได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้ว รับรองไม่มีพลาด!" สิ้นเสียงก็เริ่มร่ายมนตร์ขมุบขมิบพร้อมยื่นมือกางออกมาข้างหน้า กระดาษสีขาวฉลุลายสีทองปรากฏขึ้นในมือเรียวของเฟรินก่อนตัวหนังสือจะค่อยๆปรากฏขึ้นจนครบ
                     "เห็นมั้ยล่ะ! บอกแล้วว่าครั้งนี้ไม่มีพลาด!" กล่าวพลางยกกระดาษเข้ามาดูใกล้ๆก่อนจะอ่านออกเสียงให้อีกสองคนได้ยิน


                                            ประกาศงานเต้นรำหมากกระดานเกียรติยศ
                     เนื่องด้วยทางคณาจารย์เห็นว่าการจัดการแข่งขันหมากกระดานเกียรติยศมักก่อให้เกิดความขัดแย้งแก่นักเรียนจากต่างปราสาท ในปีนี้จึงจัดงานเต้นรำขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดมิตรภาพระหว่างนักเรียนต่างปราสาท โดยนักเรียนทุกคนจะต้องหาคู่เต้นรำไปงานเลี้ยงและคู่เต้นรำจะต้องมาจากต่างปราสาทเท่านั้น ใครที่ไม่สามารถหาคู่เต้นรำได้หรือจับคู่กับผู้ที่มาจากปราสาทเดียวกันจะถูกหักคะแนน ทั้งนี้ งานเลี้ยงเต้นรำจะจัดขึ้นหนึ่งอาทิตย์ก่อนการแข่งหมากกระดานเกียรติยศ ขอให้นักเรียนทุกคนแต่งกายด้วยชุดราตรีเต็มยศตามระเบียบพิธีการงานเต้นรำด้วย

                                                                                                        จึงเรียนมาเพื่อทราบ
                                                                                                       มิสแรมเชล   กิลเบิร์ต
                                                                                                     อาจารย์ประจำอ้อมอัศวิน


                       "งานเลี้ยงเต้นรำเนี่ยนะ! ฉันเต้นเป็นที่ไหนกัน มีหวังสะดุดขาตัวเองล้มกลางงานแน่" เฟรินโวยออกมาเมื่ออ่านประกาศจนจบก่อนจะทำหน้าราวกับโดนบังคับให้ดื่มยาพิษ
                       "ที่แกควรกังวลไม่ใช่เรื่องเต้น แต่ควรจะกังวลว่าจะไปงานกับใครมากกว่านะ" คิลกล่าว
                       "จริงด้วย! ว่าแต่นายจะไปกับใครล่ะคาโล?"
                       "ไม่รู้สิ" คาโลตอบเรียบๆทำให้เฟรินหันกลับมากลุ้มกับเรื่องของตัวเองต่อ
                       "แค่คิดว่าถ้าเกิดต้องไปงานกับเจ้ายักษ์ปักหลั่นดาร์ค เกลเลอร์ฉันก็ขนลุกแล้ว" พูดพลางทำท่าประกอบโดยการลูบแขนตัวเองไปมาเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายที่ยืนอยู่ข้างๆเธอทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี


                        ทั้งสามเดินลงจากป้อมอัศวินมายังโรงอาหารดราก้อนเพื่อรับประทานอาหารเช้าตามปกติ เฟริน คิล และคาโลเดินไปซื้ออาหารก่อนจะมานั่งลงบนโต๊ะตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มรับประทานอาหารก็โดนขัดจังหวะโดยสาวสวยกลุ่มหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมาจากปราสาทขุนนาง หญิงสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่งในกลุ่มสาวๆโดนเพื่อนอีกสองคนผลักไปทางคาโลก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
                       "เอ่อ....คือว่า ข้า ข้ามาจากปราสาทขุนนาง ชื่อว่าแอรีส แอแรนเดล เดอะวิทช์ออฟเวนอล ท่านจะไปงานเลี้ยงเต้นรำกับข้าได้หรือไม่ปรินซ์คาโล" สิ้นเสียงของสาวน้อยเฟรินก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมาก่อนจะตักลงไปบนจานอาหารอย่างแรงจนเกิดเสียงดังก่อนจะตักเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆอย่างหวังจะคลายความหงุดหงิด คาโลลอบมองมาทางเธอแวบหนึ่งแต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจและเคี้ยวต่อไปราวกับมันอร่อยนักหนา คาโลจึงหันไปตอบสาวน้อยจากปราสาทขุนนางแทน
                        "ได้สิ" กล่าวตอบรับเรียบๆเรียกรอยยิ้มกว้างแก่สาวน้อยนามแอรีส เธอยิ้มให้คาโลอีกหนึ่งครั้งอย่างดีใจก่อนจะรีบหันไปหาเพื่อนแล้วเดินออกไปพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักไปตลอดทาง ฝ่ายคาโลรู้ตัวว่าแม่ตัวดีของเขาคงจะงอนเข้าให้แล้วจึงพยายามจะอธิบาย
                       "เฟริน คือว่า...." ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรก็มีเสียงขัดขึ้นเสียก่อน
                       "เฟลิโอน่า เกรดเดเวล" เสียงเรียกจากผู้มาใหม่เรียกให้เฟรินต้องหันไปมองด้วยความฉงน
                       "ข้าชื่อมาร์คัส ลูซิเฟอร์ เดอะวอริเออร์ออฟเอเธนส์แห่งปราสาทขุนนาง ท่านจะให้เกียรติไปงานเลี้ยงเต้นรำกับข้าได้หรือไม่" คำขอของบุรุษนามมาร์คัสเรียกให้คิ้วหนาของเจ้าชายแห่งคาโนวาลขมวดมุ่นเข้าหากันเป็นปม ถ้าจำไม่ผิด เขาเป็นผู้เดินหมากกระดานเกียรติยศปีสี่ของปราสาทขุนนางนี่นะ ทำไมต้องเจาะจงมาขอเฟรินที่เป็นผู้เดินหมากของป้อมอัศวินไปงานเลี้ยงด้วย แต่แล้วคิ้วหนาก็ต้องขมวดมุ่นหนักกว่าเดิมเมื่อเจ้าหัวขโมยตัวดีของเขาตอบรับทันทีแบบไม่คิดอะไรเลย
                       "ได้สิ ข้ากำลังว่างอยู่พอดี"กล่าวพร้อมกับวางมือลงบนมือหนาของมาร์คัสที่ยื่นออกมารอไว้ตั้งแต่แรกก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วปรายหางตามาทางคาโล
                       "เราไปปรึกษากันเถอะว่าจะใส่ชุดคอนเซปต์อะไรคู่กันดี ข้าตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว" กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าพยายามจะประชดประชันแล้วเดินออกจากโรงอาหารดราก้อนไปพร้อมกับคู่เต้นรำของเธอทันที


                       "เฟริน มาคุยกันก่อนสิ" คาโลที่ยืนดักรออยู่หน้าห้องเรียนพูดรั้งเธอไว้ก่อนที่จะได้เดินเข้าห้องไป
                       "คุยเรื่องอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องคุยเลย" พูดอย่างไม่รู้ไม่ชี้แล้วทำท่าจะเดินเข้าห้องไปอีกครั้งแต่มือของคาโลกลับไวกว่ารั้งข้อมือของเธอไว้แล้วลากให้ออกไปคุยกันดีๆในที่ลับตาคน
                       "เธอไม่ควรไปงานเต้นรำกับหมอนั่น มันไม่น่าไว้ใจ"
                       "ไม่น่าไว้ใจอะไร เขาก็มาจากปราสาทขุนนางเหมือนๆกับคู่เต้นรำของนายนั่นแหละ" ว่าพลางสะบัดมือออกจากการกอบกุมของมือใหญ่
                       "มันไม่เหมือนกัน นายนั่นน่ะเป็นคนเดินกระดานหมากเกียรติยศของปราสาทขุนนาง เท่ากับว่าเธอเป็นคู่แข่งมันนะ มันอาจจะเล่นตุกติกอะไรก็ได้ใครจะรู้"
                       "ถ้านายคิดว่ามาร์คัสเป็นคู่แข่งของฉัน ถ้าอย่างนั้นทุกคนที่มาจากปราสาทอื่นก็เป็นคู่แข่งของเราหมดนั่นแหละ รวมถึงแม่สาวน้อยแอรีสคู่เต้นของนายด้วย ดูแลคู่เต้นรำของตัวเองให้ดีเถอะ ไม่ต้องมาห่วงฉัน" พูดจบก็เดินกลับไปเข้าห้องเรียนทันที ทิ้งให้คาโลต้องมองตามด้วยความอ่อนใจในความดื้อรั้นของเธอ


                         "เรื่องที่ให้ไปทำคืบหน้าถึงไหนแล้ว"
                         "แผนสำเร็จไปขึ้นหนึ่งแล้วครับ ตอนนี้ผมขอเธอมาเป็นคู่เต้นรำได้สำเร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ถึงวันงานเพื่อที่จะได้เดินตามแผนขั้นต่อไป"
                         "ดีมาก รู้ใช่มั้ยว่างานนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากโดนจับได้ไม่เพียงแค่แกที่จะซวยแต่มันอาจหมายถึงชื่อเสียงของปราสาทขุนนางทั้งหมดที่ต้องพังลงไปด้วย"
                         "เข้าใจแล้วครับ"



                         ร่างสาวน้อยในชุดสีชมพูฟูฟ่องดูน่าทะนุถนอมที่ยืนอยู่หน้าห้องของเธอสะกดให้คาโลยืนจ้องราวกับต้องมนตร์ เฟรินรับรู้ได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมาทางเธอจึงหันไปมองก็พบกับคาโลที่อยู่ในชุดทักซิโดสีเทาเรียบหรูที่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับผมสีเงินเสริมให้เขาดูดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก เธอรีบปั้นหน้านิ่งเมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องเขานานเกินไปแล้วก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปยังบันไดแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะคาโลคว้าข้อมือของเธอเอาไว้
                         "มีอะไร"
                         คาโลไม่ตอบแต่กลับดึงมือข้างซ้ายของเธอไปกุมไว้แทน มือขวาหยิบคทาขึ้นมาก่อนจะแตะลงบนแหวนมุกแสงจันทร์แหวนหมั้นที่สวมอยู่บนนิ้วนางของเธอแล้วร่ายมนตร์อยู่ชั่วครู่ทำให้เกิดแสงเรืองสีฟ้าบนแหวนแวบหนึ่งก่อนจะหายไป
                         "จำไว้นะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้กุมแหวนนี้เอาไว้ในมือแล้วนึกถึงฉัน ฉันจะรีบไปหาเธอทันที เข้าใจมั้ย" เฟรินมองแหวนบนนิ้วอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคาโล ในใจรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เขาทำแต่อีกใจก็ยังคิดว่าคาโลกังวลมากเกินไปอยู่ดี
                         "นี่นายจะกังวลมากเกินไปรึเปล่า มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกน่า"
                         "แค่ตอบฉันมาว่าเข้าใจแล้วนี่มันยากมากนักรึไง" เสียงดุๆของคาโลทำให้เธอเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆจึงรีบตอบรับแต่โดยดี
                         "รู้แล้วละน่า ไม่ต้องมาทำเป็นดุเลย" พูดจบก็หันหลังเดินลงบันไดไปทันที
                         เฟรินเดินออกมาที่หน้าป้อมอัศวินก็พบกับมาร์คัสในชุดคลุมยาวสีแดงที่ทำให้เขาดูดีไม่หยอก มาร์คัสโค้งทักทายเธอพอเป็นพิธีก่อนจะกล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี
                         "พร้อมสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้หรือยังครับ คู่เต้นรำของผม"
                         "เอ่อ....ก็พร้อมเท่าที่เห็นนั่นแหละ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเต้นไม่ค่อยเป็น"
                         "ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ทำตามข้าก็พอ คืนนี้ข้าจะคอยดูแลท่านเอง" กล่าวจบก็ยื่นแขนออกมาข้างหน้าเป็นเชิงให้เฟรินควง เฟรินจึงสอดแขนเข้าไปในวงแขนของเขาแล้วทั้งคู่ก็กำลังจะออกเดินแต่กลับมีเสียงดังขัดขึ้นเสียก่อน
                          "เฟริน ยังจำที่ฉันบอกได้ใช่ไหม" คาโลกล่าวกับเฟรินแต่สายตากลับจ้องเขม็งไปยังคู่เต้นรำของเธอแทน ฝ่ายมาร์คัสก็ไม่ยอมน้อยหน้าจ้องกลับด้วยแววตากร้าวแข็งไม่ต่างกันจนเฟรินชักจะหวั่นๆว่าจะเกิดการวางมวยกันขึ้นจึงรีบตอบรับคาโลไป
                          "รู้แล้วละน่า ไม่ลืมหรอก นายน่ะไปรับคู่เต้นรำของตัวเองได้แล้วไป เราไปกันเถอะมาร์คัส ฉันหิวจะแย่แล้ว"ประโยคแรกพูดกับคาโลก่อนจะหันไปบอกมาร์คัสในประโยคหลังทำให้เขาละสายตาจากคาโลหันมายิ้มให้เธอแล้วเริ่มพาเธอออกเดินไปยังงานเลี้ยงในที่สุด


                            งานเลี้ยงไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะดูเหมือนเลโมธีจะสรรหาอาหารเลิศรศจากทั่วเอดินเบิร์กมาให้ได้เลือกสรรกันอย่างจุใจ เฟรินตักทุกอย่างมากินอย่างน้อยอย่างละสองรอบ(ยกเว้นคัสตาร์ดครีมที่ต้องขอเพิ่มเป็นจานที่สามเพราะมันอร่อยเกินจะห้ามใจไหวจริงๆ) หลังจากกินทั้งของคาวของหวานสารพัดจนพุงกางแล้ว เฟรินก็มานั่งย่อยที่โต๊ะที่จัดรับรองไว้ในงานรอมาร์คัสที่กำลังไปเอาน้ำมาให้อยู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคาโลที่กำลังเต้นรำอยู่กับสาวน้อยแอรีสในชุดราตรียาวสีขาว ทั้งคู่เต้นคลอไปกับจังหวะวอลซ์เบาๆ แอรีสยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของคาโลที่ยิ้มให้เธอน้อยๆ ภาพที่เห็นทำให้เฟรินรู้สึกรุ่มร้อนในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แค่ได้เห็นคาโลยิ้มให้ผู้หญิงคนอื่นก็ทำให้เธอหงุดหงิดจนแทบบ้า
                            "อารมณ์ไม่ดีหรอ ดื่มน้ำส้มเย็นๆหน่อยมั้ย เผื่ออารมณ์จะเย็นลง" มาร์คัสยื่นแก้วน้ำส้มมาให้ เฟรินที่กำลังอารมณ์เสียจึงคว้ามาดื่มทีเดียวหมดแก้วโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามาร์คัสกำลังแอบยิ้มอย่างมีเลศลัยก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะอย่างแรง
                            "ไปเต้นรำกันเถอะ" กล่าวจบก็ลากแขนมาร์คัสให้เดินออกไปยังฟลอร์เต้นรำใกล้ๆกับคาโลและแอรีสทันที
                            "นายบอกว่าจะคอยนำฉันเองไม่ใช่หรอมาร์คัส ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยดูแลฉันหน่อยนะ" กล่าวเสียงดังเพื่อให้คาโลได้ยินพร้อมกับยกมือของมาร์คัสให้มาจับที่เอวของตนก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของเขา
                            "ได้เลย วางใจเถอะ วันนี้ฉันจะดูแลเธอแทนคู่หมั้นของเธอเอง" กล่าวพลางกระชับมือที่เอวของเฟรินให้แน่นขึ้นแล้วเริ่มนำให้เธอขยับตามจังหวะเพลงเบาๆเรียกให้คาโลต้องหยุดชะงักการเต้นกลางคันทันที
                             "ฉันขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนนะ ในนี้มันอึดอัด" กล่าวกับแอรีสแล้วเดินออกจากฟลอร์เต้นรำไปโดยไม่หันมามองเฟรินเลย

                              เฟรินเต้นรำไปได้ซักพักก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ รู้สึกร้อนๆลุมๆราวกับจะเป็นไข้
                              "เป็นอะไรรึเปล่า ไหวมั้ย? ไปพักก่อนมั้ย?" มาร์คัสถามขึ้นเฟรินจึงพยักหน้าให้              
                              มาร์คัสเดินประคองเธอออกไปจากห้องโถงที่ใช้เต้นรำก่อนจะพาเธอเดินไปยังห้องพยาบาแล้วประคองให้เธอนอนลงบนเตียง
                              "ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย นางพยาบาลไปไหนหมด แล้วนั่นนายจะล็อคประตูทำไม" เฟรินถามขึ้นแล้วจ้องมองมาร์คัสที่เดินไปล็อคประตูอย่างสงสัย
                              "สงสัยคงจะอยู่ที่งานเลี้ยงกันหมด แต่เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะฉันจะช่วยรักษาเธอแทนนางพยาบาลเอง" กล่าวพลางถอดเสื้อคลุมออกแล้วค่อยๆปลดกระดุมเสื้อข้างในออกทีละเม็ดทำให้เฟรินเริ่มรู้สึกใจเสีย
                              "นายจะทำอะไรน่ะ"
                              "ก็ช่วยทำให้เธอสบายตัวขึ้นน่ะสิ ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอต้องกำลังรู้สึกอึดอัด ร้อนรุ่มราวกับถูกไฟแผดเผาใช่มั้ยล่ะ?" กล่าวพลางค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้เธอทีละนิด
                              "นะ...นายรู้ได้ยังไง หรือว่า........."
                              "ใช่ ฉันใส่ยาปลุกเซกส์ลงในน้ำส้มที่เธอดื่มเข้าไปยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นเลิกพูดมากแล้วยอมให้ฉันช่วยเธอดีๆดีกว่า" กล่าวจบก็พุ่งตัวเข้าหาเฟรินทันที มือใหญ่กดแขนทั้งสองข้างของเธอลงกับเตียงแล้วบดจูบลงมาอย่างรุนแรง เฟรินพยายามดิ้นรนสุดชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาแรงเยอะกว่าเธอมากนัก
                              "เป็นยังไง จูบของฉันดีกว่าจูบของไอ้เจ้าชายน้ำแข็งนั้นมั้ยล่ะ" กล่าวอย่างหยาบโลนยิ่งทำให้เฟรินรู้สึกรังเกียจเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ
                              "นายทำแบบนี้ทำไม!"
                              "ก็เพื่อทำลายเธอไง ทำให้เธอแปดเปื้อน แล้วมาดูซิว่าไอ้คาโลมันจะยังอยากแต่งงานกับผู้หญิงที่มีมลทินอย่างเธอรึเปล่า" พูดจบก็ฉีกเสื้อผ้าของเฟรินออกทันทีแต่เฟรินก็พยายามขัดขืนจนสุดความสามารถจนมาร์คัสทนไม่ไหวจึงต่อยเข้าที่ท้องน้อยของเธออย่างแรงจนเฟรินจุก เธอเอามือกุมเข้าที่ท้องทั้งน้ำตาพลันนึกถึงคำพูดของคาโลที่บอกไว้ก่อนมางานเลี้ยง
                               "ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้กุมแหวนนี้ไว้ในมือแล้วนึกถึงฉัน ฉันจะไปหาเธอทันที"
                               เฟรินกุมมือข้างซ้ายเอาไว้ด้วยมือข้างขวาก่อนจะนึกถึงใบหน้าของชายอันเป็นที่รัก
                               "คาโล ช่วยฉันด้วย" กล่าวพร้อมกับหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาตามใบหน้าหวาน
                                "หึ ร้องให้ตายมันก็ไม่มีทางมาช่วยเธอได้หรอก ป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่กับคู่เต้นรำของมันโน่น"
                                ปัง! เสียงประตูที่กระเด็นออกด้วยแรงจากพลังเวทย์อันแก่กล้าทำให้มาร์คัสต้องหันขวับไปมองทันที ผู้มาใหม่ยืนตระหง่านค้ำอยู่ที่ทางเข้าแผ่ไอเวทย์มนตร์สีดำทะมึนออกมารอบทิศ นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างในตอนนี้แลดูเย็นเยียบราวกับจะทำให้ผู้ที่เผลอไปสบตาด้วยแข็งกลายเป็นหินไปในทันที
                               "กล้าดียังไงมายุ่งกับผู้หญิงของฉัน!!!" กล่าวด้วยสุรเสียงทรงอำนาจก่อนจะชี้ปลายคทาไปยังร่างของมาร์คัส แรงพลังทำให้ร่างของเขาลอยไปกระแทกกับผนังห้องก่อนจะตกลงมานอนกระอักเลือดบนพื้นแล้วสลบไปในทันที
                                "คาโล.........."เสียงเรียกอันอ่อนแรงจากเฟรินทำให้คาโลได้สติ เขารีบปราดเข้าไปหาเธอก่อนจะถอดเสื้อออกมาคลุมร่างเกือบเปลือยเปล่า คาโลค่อยๆอุ้มเฟรินขึ้นมาในอ้อมอกก่อนจะพาเธอเดินออกจากห้องพยาบาลฝ่าเหล่าฝูงชนที่กรูออกจากงานเลี้ยงมาดูเนื่องจากได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อสักครู่

       
                                 คาโลอุ้มเฟรินกลับมาที่หอพักของป้อมอัศวิน มือใหญ่วางร่างบางลงบนเตียงนอนของเขาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวเธอจะแตกหัก เฟรินที่ในตอนนี้ยาเริ่มออกฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย เธอรู้สึกอึดอัดจะอยากจากกรี๊ดออกมาให้สุดเสียง ร่างกายร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาไปทั่วร่าง เธอได้แต่พึมพำไปมาซ้ำๆว่าช่วยด้วยจนคาโลเริ่มรู้สึกกระวนกระวายตามไปด้วย
                                 "เฟริน เฟริน เธอเป็นอะไร ไอ้บ้านั่นมันทำอะไรเธอบอกฉันสิว่าจะให้ฉันช่วยเธอได้ยังไง จริงสิ ท่านหมอเทวดาในคทาของฉัน รอเดี๋ยวนะ" คาโลทำท่าจะเรียกคทามาไว้ในมือแต่เฟรินกลับรั้งมือของเขาไว้พร้อมส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรง
                                "ไม่ ไม่.....นาย.....ต้องเป็น.........นาย......" กล่าวด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมบีบมือของคาโลอย่างแรง
                                "ฉันหรอ ฉันจะช่วยเธอได้ยังไง บอกฉันมาสิเฟริน" เฟรินไม่ตอบแต่กลับรั้งคอขอคาโลลงมาแทน เธอจูบคาโลอย่างร้อนรนราวกับพบโอเอซิสกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง คาโลตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบรับจูบของเธอแต่โดยดี ดูจากอาการเขาพอจะรู้แล้วว่าไอ้มาร์คัสมันทำอะไรกับเฟรินไว้ เลวจริงๆ คอยดูเถอะ เขาจะเล่นงานมันให้จมดินไม่ให้โผล่หัวขึ้นมาได้อีกเลย
                                เฟรินเริ่มทนไม่ไหวเพราะยาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว เธอผลักคาโลให้นอนลงบนเตียงก่อนจะตามไปทาบทับบนร่างใหญ่ มือเรียวกระชากเสื้อของคาโลออกก่อนจะดูดดุนไปทั่วแผงอกกว้าง ปากอิ่มไล้ต่ำลงมาเรื่อยๆผ่านกล้ามเนื้อท้องเป็นลอนงามจนถึงขอบกางเกงสีเทาตัวสวย เธอใช้ฟันปลดตะขอกางเกงออกเผยให้เห็นแก่นกายที่เริ่มตื่นตัวขึ้นมาหน่อยๆ ไม่รอช้ามือเรียวกอบกุมแกนกายใหญ่เอาไว้แล้วเริ่มรูดขึ้นลงทันที ปากอิ่มครอบครองปลายยอดถันแล้วดูดเลียอย่างเมามันราวกับไอศกรีมรศเลิศ  ลิ้นเล็กละเลงไปทั่วปลายแก่นกายใหญ่ก่อนจะกลืนกินมันเข้าไปอีกครั้งจนคับปาก มือเรียวขยับขึ้นลงเร็วอีกสองสามครั้งก่อนจะผละออกมาจัดการกับเสื้อผ้าของตนเองให้ออกไปพ้นทาง ทุกการกระทำของเธอล้วนอยู่ในสายตาของคาโลทั้งสิ้น ถึงแม้จะรู้สึกโกรธที่ไอ้บ้านั่นมันบังอาจมาวางยาผู้หญิงของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเพราะยานี่ทำให้เขาพอใจไม่น้อย ภาพหัวขโมยตัวดีที่กำลังแปลงร่างเป็นนางแมวยั่วสวาทตรงหน้าทำให้เขาตื่นเต้นจนเกือบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่          
                                 มือเรียวจับแก่นแกายใหญ่ให้ตั้งขึ้นก่อนจะจ่อเข้ากับปากทางรักของตนเอง เฟรินค่อยๆกดสะโพกลงไปช้าๆจนในที่สุดก้นงอนก็แนบชิดบนหน้าขาของร่างสูงก่อนจะทำหน้าเหยเกออกมาเล็กน้อยด้วยความเสียวปนจุก ร่างบางเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงอย่างรัวเร็วทันทีที่เริ่มปรับตัวได้ มือเรียวค้ำยันอยู่บนแผงอกแกร่งเพื่อให้ขยับได้อย่างถนัดมากขึ้น สะโพกอิ่มขยับรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆตามไฟราคะที่โหมโชนขึ้นในจิต ตอนนี้สมองของเธอไม่มีที่ว่างสำหรับความเขินอายอีกต่อไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยความต้องการที่ล้นปรี่จากฤทธิ์ของยา ยิ่งเธอขยับสะโพกรัวเร็วขึ้นเท่าไหร่เสียงร้องครางของเธอเองก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ฝ่ายคาโลที่อยู่ด้านล่างก็ไม่ปล่อยให้เธอเหนื่อยอยู่คนเดียว เขาจับเอวของเธอไว้ก่อนจะช่วยกดลงรับกับสะโพกของเขาที่เด้งสวนขึ้นมาพอเรียกเสียงครางกระเส่าให้ดังถี่ขึ้นอีกจนจับใจความแทบไม่ได้
                                "อ๊าาาาาาาาาาา คาโล อื้มมมม แรงอีกกก ลึกกว่านั้นอีก ชั้นจะไม่ไหวแล้ว อึ่ก.............."คาโลสวนสะโพกแรงขึ้นตามคำขอทำให้แก่นกายใหญ่สวนลึกเข้าไปในตัวเธอจนแตะโดนจุดกระสันทำให้เฟรินเสียวจนถึงกับหลั่งน้ำรักสีใสๆกระฉูดออกมาเต็มไปหมดแต่คาโลก็ยังคงไม่หยุดเพราะตัวเขาเองยังไม่ได้ปลดปล่อย คาโลล็อคเอวของเฟรินให้ค้างไว้กลางอากาศก่อนจะรัวสะโพกเข้าหาถี่ๆอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็ปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเข้าไปเต็มช่องทางรักพร้อมกับเฟรินที่ถึงฝั่งฝั่งไปพร้อมกันอีกรอบ เฟรินหมดแรงทิ้งตัวลงซบอกกว้าง คาโลกอดเธอเอาไว้พร้อมลูบหัวเธอเบาๆ
                                 "เป็นยังไง ดีขึ้นรึยัง?"
                                 "อื้ม" สาวน้อยตอบออกมาสั้นๆแต่คาโลกลับยิ้มกว้างออกมาเพราะตอนนี้ตัวเขาและเธอยังเชื่อมต่อกันอยู่ และบางอย่างมันทำให้รู้ว่ายามันยังไม่หมดฤทธิ์
                                 "ดีขึ้น แต่ยังไม่หายดีใช่มั้ย เพราะฉันรู้สึกได้นะ ว่ายามันยังไม่หมดฤทธิ์" กล่าวจบก็แกล้งขยับสะโพกเบาๆให้เฟรินต้องตอดรัดโดยอัตโนมัติ สาวน้อยแก้มขึ้นสีระเรื่อ ซุกหน้างุดลงกับอกแกร่ง
                                  "คาโลบ้า! อย่าแกล้งกันอย่างนี้สิ งือ~"
                                  "ไม่แกล้งแล้วก็ได้ แต่ทำจริงเลยแล้วกัน" กล่าวจบก็พลิกตัวร่างบางให้กลับมาอยู่ใต้ร่างของตนแทน ปากหยักประกบจูบลงอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนไล้เลียไปทั่วโพรงปากหวานเก็ยชิมน้ำหวานทุกอยาดหยด. ก่อนจะหยอกล้อกับลิ้นเล็กที่ตอบรับกับลิ้นของเขาได้เป็นอย่างดี เสียงดังจ๊วบจ๊าบดังขึ้นไม่ขาดสาย มือใหญ่จับแก่นแกนของตนจ่อเข้าที่ปากทางรักก่อนจะดันเข้าไปอีกครั้งจนสุด เฟรินสะดุ้งเฮือกเผลอผละปากออกจากคาโลด้วยความเสียว
                                  "อื้มมมมมมมม" มือเรียวจิกลงที่แผ่นหลังกว้างทันทีเมื่อคาโลเริ่มขยับเอว เขาขยับอย่างเนิบช้าทว่าร้อนแรง สะโพกสอบเน้นย้ำในทุกคราที่ฝังตัวตนเข้ามาในตัวเธอราวกับต้องการจะให้มันเข้าไปได้ลึกที่สุดก่อนจะถอนออกจนเกือบสุดแล้วกดย้ำเข้ามาอีกครั้งเน้นๆ มือแกร่งขยำแก้มก้นงอนอย่างแรงแต่กลับทำให้เธอรู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก เมือเรียวฝังเล็บลงไปทุกครั้งที่คาโลฝังตัวตนเข้ามาจนสุดจนแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน มือแกร่งเปลี่ยนเป็นรั้งสะโพปอิ่มให้เข้ามาแนบชิดกับตัวตนของเขามากยิ่งขึ้นก่อนจะเริ่มรัวสะโพกเข้าหาถี่ยิบอย่างกระทันหันจนเฟรินตั้งตัวแทบไม่ทัน มือเรียวเปลี่ยนจากแผ่นหลังกว้างมาจิกลงบนผ้าปูเตียงสีขาวแทน เสียงครางกระเส่าดังกระท่อนกระแท่นเพราะความเร็วที่พุ่งสู่จุดสูงสุดจนเธอครางไม่ได้ศัพท์ แต่จู่ๆเธอก็ต้องตกใจเมื่อคาโลหยุดอย่างกระทันหันแล้วจับตัวเธอพลิกให้คว่ำหน้าลงกับเตียง มือแกร่งรั้งสะโพกอ่มดข้าหาแล้วเริ่มขยับสะโพกต่อทันทีราวกับเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ เฟรินทำได้เพียงจิกเล็บลงกับผ้าปูเตียงจนยับย่นและกัดหมอนเพื่อระบายความเสียว เธอได้รู้ในวันนี้เองว่าคาโลต้องทนเก็บกดมากแค่ไหนที่ต้องอ่อนโยนกับเธอตลอดเวลา แต่ตอนนี้เป็นเพราะฤทธิ์ยาทำให้เขาสามาถปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมากับเธอได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าเธอจะเจ็บ
                                 คาโลยังคงรัวสะโพกเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนเฟรินต้านทานไม่ไหว ขาสั่นหมดแรงกองลงไปบนเตียงแต่คาโลก็ยังคงตามมาทาบทับอย่างไม่หยุดหย่อน เขากระแทกเน้นย้ำลงมาราวกับพยายามจะกดเธอให้จมเตียง   ร่างใหญ่ลงมานอนข้างๆเธอก่อนจะดันให้เธอนอนตะแคงข้างโดยหันแผ่นหลังเข้าหาเขาก่อนจะยกขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นแล้วรัวสะโพกต่ออโดยไม่หยุดพัก มือข้างหนึ่งดันใบหน้าหวานให้กันมารับจูบส่วนมืออีกข้างทาบทับอยู่ส่วนอ่อนไหวของเธอก่อนจะละเลงนิ้วลงบนจุดกระสันอย่างรัวเร็วเป็นจังหวะเดียวกับสะโพกที่ยังคงรัวเข้าหาเธออย่างถี่ยิบ ความเสียวกระสันที่ได้รับมันมากเกินกว่าจะทนไหวจนทำให้เฟรินต้องร้องอืออาอยู่ในลำคอเพราะคาโลยังไม่ยอมปล่อยให้ปากเธอเป็นอิสระก่อนจะปล่อยน้ำใสๆให้พุ่งกระฉูดออกมาจากช่องทางรักอีกครั้งอย่างอั้นไม่อยู่  มือใหญ่เปลี่ยนเป้าหมายมาที่อกอวบอิ่มก่อนจะบีบขยำอย่างรุนแรงแล้วเพิ่มความเร็วที่ด้านล่างขึ้น มือแกร่งบีบหน้าอกเธอค้างไว้พร้อมๆกับสะโพกแกร่งที่กระแทกเข้ามาหนักๆอีกสองสามครั้งแล้วปล่อยน้ำรักออกมาอีกระลอกถึงจะคลายมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นกอดเอวเธอเอาไว้หลวมๆแทน เสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เฟรินรู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้นทั้งๆที่ทำอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะแล้วแท้ๆ
                                "อีกรอบนะ" เสียงแหบพร้าที่กระซิบขึ้นข้างหูทำให้เธอต้องตีลงบนแขนแกร่งเบาๆโทษฐานหื่นไม่บันยะบันยัง
                                "พอแล้วน่า ยาหมดฤทธิ์แล้ว ฉันหายดีแล้ว"
                                "แต่ฉันยังไม่หายเลยนี่"
                                "หายเหยอะไร คนโดนวางยาน่ะมันฉันไม่ใช่นายซักหน่อย"
                                "ก็ฉันยังไม่หาย....อยากเลยนี่ นานๆทีจะได้เห็นหัวขโมยแปลงร่างเป็นนางแมวยั่วสวาท ใครจะทนไหว แค่สองรอบมันจะไปพอได้ยังไงกัน" คำพูดลุ่นๆเรียกให้สาวน้อยในอ้อมกอดเขินจนต้องถองข้อศอกเข้าให้ที่หน้าท้องแกร่งเบาๆ แต่สุดท้ายนางแมวยั่วสวาทก็หนีไม่พ้นราชสีห์ที่จ้องจะตะครุบเหยื่ออยู่ดี คำว่าอีกรอบนะยังคงดังขึ้นทั้งคืนไปยันเช้า.............