วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค2 ตอนที่ 4 : พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล Darker [NC25+]


ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


ท้องพระโรงใหญ่ของพระราชวังแห่งคาโนวาลเนืองแน่นไปด้วยข้าราชบริภารและขุนนางน้อยใหญ่จากทั่วทั้งเอเดนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแห่งคาโนวาล นอกจากนี้เพื่อนๆของคาโลจากป้อมอัศวิน ทั้งคิล ฟีลมัส โร เซวาเรส เพื่อนๆปีสามทั้งหมด รวมถึงโรเวน วิเวียนก็มาด้วย ทุกคนอยู่ในชุดเต็มยศเป็นทางการจับกลุ่มคุยอยู่กับว่าที่เจ้าชายรัชทายาทอย่างเป็นทางการแห่งคาโนวาลอย่างคาโลในเสื้อสีน้ำเงินประดับเหรียญประจำราชวงศ์คลุมด้วยผ้าคลุมกำมะหยี่สีดำอันเป็นเครื่องแบบของนักรบแห่งคาโนวาล มือขวาถือคทาหัวลูกแก้วสีดำคู่ใจไว้ข้างตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤกษ์เข้าพิธีแล้วแต่เขายังไม่เห็นวี่แววของเจ้าหัวขโมยตัวแสบคู่หมั้นของเขาเลยทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาหน่อยๆ
"เฟรินอยู่ไหนน่ะ ทำไมยังไม่มาอีก ฉันว่าฉันไปตามดีกว่า" คาโลกล่าวด้วยความกังวลพร้อมทำท่าจะเดินออกจากท้องพระโรงทำเอาเพื่อนๆต้องรีบรั้งตัวไว้แทบไม่ทันเพราะนี่มันใกล้จะถึงเวลาเข้าพิธีแล้วขืนคาโลไปตอนนี้กลับมาไม่ทันแน่
"แกอยู่นี่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปตามเฟรินเอง" คิลกล่าวขึ้นพร้อมเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที
"ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เฟรินคงจะอยากแต่งตัวให้ดูดีที่สุดในฐานะคู่หมั้นของเจ้าชายรัชทายาทก็เลยช้า ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ" โรเวนกล่าวพร้อมขยิบตาให้ แต่นั่นไม่ทำให้คาโลคลายความกังวลลงได้เลยเพราะเขารู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเฟรินไม่ใช่คนที่จะมาเสียเวลากับเรื่องแบบนั้นเป็นแน่
"เจ้าชายคาโล ถึงเวลาเข้าพิธีแล้วพะยะค่ะ" ข้าราชบริภารคนหนึ่งเดินมาบอกทำให้คาโลต้องรีบเดินตามไปแต่ในใจก็ยังกังวลเกี่ยวกับเฟรินอยู่

คิงบาโรแห่งคาโนวาลขึ้นนั่งประทับบนบัลลังก์โดยมีคาโลยืนอยู่ข้างๆทำให้เหล่าขุนนางและผู้มาร่วมงานทุกคนยืนประจำที่เรียงเป็นแถวอย่างสวยงาม คาโลหันกลับไปดูที่ทางเข้าท้องพระโรงอีกครั้งก็ปรากฏร่างของคิลกับเฟรินเดินเข้ามาพอดีทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองเดินเข้าประจำที่ก่อนเฟรินจะหันมาสบตากับเขาพอดี ชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าแววตาของเธอดูแปลกไปแต่แล้วเขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อเฟรินยิ้มมาให้อย่างสดใสเขาจึงยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

"ไปเจอเฟรินที่ไหนล่ะ? ห้องแต่งตัวหรอ?" โรเวนกระเซ้าถามคิล
"เจอระหว่างทางเดินมาท้องพระโรงนี่แหละครับ"
"แหม่ เดี๋ยวนี้พอเป็นผู้หญิงแล้วรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วสินะเฟริน" โรเวนหันไปพูดหยอกล้อกับเฟรินแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆทั้งสิ้นทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจหน่อยๆ แต่ก็ต้องละความสนใจไปเมื่อพิธีเริ่มขึ้นพอดี
"คาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟคาโนวาล ท่านให้คำสัตย์ได้หรือไม่ ว่าจะจงรักและภักดีต่อคาโนวาล ปกครองด้วยความเป็นธรรม รวมถึงคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก" 
"ข้าขอให้คำสัตย์"
"หากท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริงขอจงดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยานี้เพื่อเป็นการสาบานตน"
ข้าราชบริภารถือถาดใส่ถ้วยเงินสลักลวดลายวิจิตรประดับด้วยทับทิมเข้ามา ภายในมีน้ำลักษณะใสๆใส่อยู่จนเต็มถ้วย คาโลถือถ้วยขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด
"ข้า ในฐานะพระราชาแห่งคาโนวาล ขอแต่งตั้งคาโล วาเนบลีเป็นเจ้าชายรัชทายาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!" คิงบาโรกล่าวเสียงดังฟังชัดพร้อมยกดาบขึ้นมาทาบที่บ่าของผู้เป็นโอรส
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นแหวกความเงียบของพระราชพิธีขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปยังที่มาของเสียงเป็นทางเดียวกัน ร่างของเฟรินค่อยๆลอยขึ้นบนฟ้าพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องที่ยังดังไม่หยุดหย่อน จู่ๆมือขนาดมหึมาก็โผล่ขึ้นกลางอากาศ มือนั้นคว้าทะลุร่างของเฟรินก่อนจะควักหัวใจออกจากตัวนางแล้วบดขยี้จนมันกลายเป็นผุยผงทำให้เสียงกรีดร้องหยุดลงทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียงพริบตาเดียวทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ลืมหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเฟรินค่อยๆสลายกลายเป็นเพียงหมอกควันไปในอากาศ.........

ภาพคนรักที่สลายกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตาทำให้คาโลโกธธจนขาดสติ ทั้งความโกรธและความเสียใจมันหลั่งไหลออกมาจนท่วมท้น ส่วนดำมืดในจิตใจของเขาถูกปลุกขึ้นอีกครั้งจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มือขาวกำคทาไว้แน่นจนสั่นไปหมด หัวคทาเปล่งแสงเรืองรองสว่างจ้า ไอมนตร์ดำแผ่กระจายออกจากทั่วร่างยังความเย็นยะเยือกให้แก่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ขณะนี้ทุกคนหันกลับมามองยังร่างที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรงเป็นตาเดียว ร่างของเจ้าชายรัชทายาทที่บัดนี้กลายเป็นซาตานไปเสียแล้ว........

เฟรินพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการที่พันข้อมือและข้อเท้าของเธออยู่ มือเรียวสีกันไปมาจนข้อมือแดงเถือกและมีเลือดซิบ แต่แล้วในที่สุดเธอก็สามารถปลดมือออกจากเชือกที่มัดข้อมือเธออยู่ได้ เฟรินรีบดึงผ้าที่อุดปากเธออยู่ออกก่อนจะแก้เชือกที่พันข้อเท้า ทันทีที่เป็นอิสระเธอก็ผลักประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นที่กักขังเธอออกอย่างแรงแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

เฟรินรีบวิ่งไปยังท้องพระโรงอันเป็นที่ประกอบพิธีก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้เห็นภาพชายคนรักที่บัดนี้กลายร่างเป็นซาตานไปเสียแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปทันทีแต่จู่ๆก็มีมือหนึ่งมาดึงตัวเธอเอาไว้เสียก่อน
"เฟริน!! แกยังไม่ตายหรอ!?" คิลกล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคาโลถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้" เฟรินถามด้วยความร้อนรนโดยไม่ได้สนใจคำถามของเพื่อนเลย
"ก็เพราะมันคิดว่าแกตายแล้วน่ะสิ แต่ มันเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี๊เราทุกคนเห็นกับตาว่าแกโดนบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว" คำอธิบายของคิลทำให้เฟรินเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นทันที เธอรีบวิ่งตรงเข้าไปยืนตรงหน้าของคาโลก่อนจะตะโกนเสียงดัง
"คาโล!! ฉันอยู่นี่ ฉันยังไม่ตาย นายได้ยินมั้ยว่าฉันยังไม่ตาย ฉันเฟริน เดอเบอร์โรว์คู่หมั้นของนายยังอยู่ตรงนี้!" ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงมีสายตาที่ว่างเปล่าและดูไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอด้วยซ้ำ เฟรินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาตรงๆ แต่ทันทีที่เธอพยายามจะเอื้อมมือไปสัมผัสเขาคาโลก็สะบัดคทามาทางเธออย่างแรงทำให้เธอโดนแรงอัดจากพลังกระแทกจนกระเด็นมากองอยู่กับพื้น
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคุยกับเขาหรอก เพราะตอนนี้เขาก็เป็นแค่หุ่นเชิดที่ไร้จิตใจของฉันเท่านั้นแหละ" เจ้าชายอาเธอร์ก้าวออกมาจากฝูงชนก่อนจะเดินตรงไปทางคาโล
"แก!" คิลแยกเขี้ยววับพร้อมทำท่าจะพุ่งเข้าใส่อาเธอร์แต่แล้วความพยายามก็ล้มไม่เป็นท่าเมื่ออาเธอร์ออกคำสั่งกับคาโลทำให้คิลโดนแรงกระแทกจากพลังกระเด็นไปนอนบนพื้นอีกราย
"ฮ่าๆๆๆ ฉันบอกแล้วไงว่าตอนนี้คาโลอยู่ในความควบคุมของฉันแล้ว พวกแกมันโง่ที่พยายามให้เขาซ่อนเร้นส่วนที่มีพลังมากมายมหาศาลเอาไว้ ตอนนี้ ฉันจะทำในสิ่งที่พวกแกไม่กล้าทำแทนเอง ทั่วทั้งเอเดนและเดมอสจะต้องมาสยบแทบเท้าของฉัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พูดจบก็เดินเข้าไปหาคาโลก่อนทั้งคู่จะหายตัวไปพร้อมกันทันที


เฟรินลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงไปที่ทางออกทันทีแต่ยังไม่ทันถึงประตูทางออกเธอก็ถูกรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
"เธอจะไปไหนน่ะเฟริน" โร เซวาเรสนั่นเองที่เป็นคนรั้งเธอเอาไว้ เฟรินหันกลับมาเขาพร้อมพยายามแกะมือของเขาออก
"ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปตามคาโล!!"
"เธอจะบ้ารึไง เมื่อกี๊เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้คาโลไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ขืนเธอไปหาเขาตอนนี้เขาอาจจะทำร้ายเธอขึ้นมาอีกก็ได้นะ"
"ฉันไม่สน ฉันจะไม่ยอมให้คาโลต้องตกเป็นเครื่องมือของคนชั่ว ฉันจะไปช่วยเขา!" เฟรินตะโกนเสียงดังแล้วพยายามยื้อแขนออกจากการกอบกุมของโรอย่างเอาเป็นเอาตายจนโรเวนต้องเข้ามาช่วยปรามอีกแรง
"เฟริน ใจเย็นๆก่อน ขืนเธอผลีผลามเข้าไปหาเขาตอนนี้มันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจมั้ย" คำพูดของโรเวนดูมีเหตุผลทำให้เฟรินเริ่มใจเย็นลงได้ เธอพยักหน้าอย่างหมดแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น
"ทีนี้เล่าให้ฟังได้รึยัง ว่าทำไมแกถึงยังไม่ตายน่ะ?" คิลถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"ฉันยังไม่ตายก็เพราะว่าที่ตายนั่นมันไม่ใช่ฉันน่ะสิ หรือถ้าจะพูดให้ถูกไอ้ที่สลายเป็นผุยผงไปน่ะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ"
"แล้วถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะคะ?" วิเวียนถามขึ้นบ้าง
"มันเป็นหุ่นที่ถูกเสกขึ้นมาให้เหมือนกับฉันน่ะสิ"
"ถึงว่าล่ะ ฉันแซวอะไรไปก็ไม่หือไม่อือ นึกว่าเดี๋ยวนี้สวยแล้วหยิ่งซะอีก" โรเวนกล่าวขึ้นขำๆ
"แล้วในระหว่างทำพิธีพี่หญิงอยู่ที่ไหนล่ะคะ"
"ฉันก็ถูกอาเธอร์จับขังเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าน่ะสิ ฉันพยายามแก้มัดตัวเองจนในที่สุดก็หลุดออกมาได้ตอนที่ทุกคนเห็นฉันนั่นแหละ" 
"จากเท่าที่เห็น อาเธอร์เตรียมการมาเป็นอย่างดี แสดงว่าเขาต้องวางแผนไว้นานแล้วแน่ๆ ว่าแต่เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน" โร เซวาเรสกล่าว
"คาโลในเวลาปกติทรงพลังมากก็จริง แต่นั่นไม่อาจเทียบอะไรได้เลยกับคาโลในยามขาดสติ พลังมหาศาลที่ถูกซ่อนอยู่ภายในจิตใจส่วนลึกของเขานั้นอาจจะมากพอที่เอาชนะเอวิเดสได้เลยทีเดียว" โรเวนกล่าวขึ้นมาพลางนึกย้อนไปถึงครั้งที่พวกเขาปะทะกับเผ่าคนแคระกินคนแห่งหุบเขาหัวกะโหลก
"ว่าแต่ เจ้าชายอาเธอร์ควบคุมเจ้าชายคาโลได้ยังไงล่ะคะ?" คำถามนี้ทำให้ทุกคนต้องครุ่นคิดกันอย่างหนักจนเมื่อโร เซวาเรสเหลือบไปเห็นถ้วยใส่น้ำพิพัฒน์สัตยาที่หล่นอยู่บนพื้นนั่นก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก โรเดินไปหยิบแก้วมาถือไว้ในมือก่อนจะอธิบายให้แก่ทุกคนฟัง
"นี่ไง สาเหตุที่ทำให้อาเธอร์ควบคุมคาโลได้ เขาต้องแอบใส่น้ำยาสะกดใจไว้ในน้ำพิพัฒน์สัตยาที่คาโลดื่มไปแน่ๆ และเมื่อคาโลขาดสตินั่นก็ทำให้เขาถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์"
"แล้วเราจะทำให้เขาหลุดพ้นจากการควบคุมได้ยังไง?" เฟรินถามขึ้น
"มันต้องมีบางอย่างที่มากระทบใจเขามากพอ บางอย่างที่จะดึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาได้"
"แล้วมันคืออะไรล่ะ?
"เธอไงเฟริน เธอคือคนที่คาโลรักมากที่สุด เธอเป็นคนเดียวที่จะสามารถดึงตัวตนที่แท้จริงของคาโลให้หลุดพ้นออกจากการควบคุมของอาเธอร์ได้ แต่นั่นมันไม่ง่ายเลย ก่อนอื่นเราต้องหาทางเข้าใกล้เขาให้ได้มากพอก่อน"
"ใช่ งานนี้ ถ้าเข้าไปตรงๆไม่ได้ ก็คงต้องใช้เล่ห์กลกันหน่อยแล้วล่ะ" โรเวนกล่าวขึ้นพร้อมยิ้มจุดประกายความหวังของทุกคนขึ้นมาทันที


กองทัพพิชิตเดมอสที่ตั้งขึ้นโดยปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน ออฟซาเรสแน่นขนัดไปด้วยเหล่านักรบจากทั่วทุกสารทิศ บ้างก็มาเพราะอยากพิชิตเดมอส บ้างมาเพื่อเงิน บางคนก็มาเพราะถูกบังคับ หรือไม่ก็มาเพราะความกลัว กลัวในฤทธาของซาตานในความควบคุมของปรินซ์อาเธอร์ ซาตานที่ไร้ซึ่งความปราณี เขาอยู่เป็นทัพหน้าของกองทัพ ฝ่าบุกตะลุยผ่าเข้าไปยังเดมอสโดยมิเกรงกลัวสิ่งใด ใครที่อาจหาญมาขวางทาง มันผู้นั้นจะต้องพบกับความตาย เพียงโบกคทาครั้งเดียวข้าศึกก็ตายราบเป็นหน้ากลอง จะว่าไปแล้วเหล่าทหารที่มาร่วมทัพก็ทำหน้าที่แค่ประดับบารมีกองทัพให้ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามก็เท่านั้น คนส่วนมากเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพมากกว่าที่จะไปขวางคมมีด
โรเวน คิล โร และเฟรินนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ในมุมลับตาคนรอบนอกเรือนพักรับรองแขกของคนแคระดำแห่งหุบเขาหัวกะโหลกที่พากันหลีกทางให้แก่กองทัพแต่โดยดีเพราะพวกเขารู้ดีกว่าใครว่าฤทธิ์ของพ่อมดแห่งคาโนวาลนั้นร้ายกาจแค่ไหน ทั้งสี่คนได้ปลอมตัวแฝงเข้ามาเป็นทหารในกองทัพเพื่อที่จะหาโอกาสให้เฟรินได้เข้าไปหาคาโล
“คืนนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้วที่เราจะลงมือ เรือนพักที่นี่เราเคยพักมาก่อน เพราะฉะนั้นเรารู้ทางหนีทีไล่ดีกว่าพวกมันแน่ เฟริน เธอต้องใช้ทางลับนี้ขึ้นไปหาคาโลที่ชั้นบนของเรือนรับรอง ส่วนพวกฉันสามคนจะคอยดูต้นทางให้เอง” โรเวนกล่าวพลางชี้ทิศทางลงบนแผนที่ที่เขาเป็นคนวาดขึ้นมาเอง
“คิล นายจัดการยามที่เฝ้าประตูหลังเปิดทางให้เฟรินเข้าไป โร นายคอยจับตาดูยามที่เฝ้าประตูหน้าไว้ ฉันจะคอยเผ้าอาเธอร์ไว้เอง หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นให้เป่าปากส่งสัญญาณเสียง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงสัญญาณให้รีบกลับมารวมกันที่นี่ทันที ตกลงตามนี้นะ” ทุกคนพยักหน้าลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัดเพราะหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นนั่นอาจหมายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
“งั้นเราไปลุยกันเลยเถอะ!” เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คิลจัดการเปิดทางให้เธอเข้ามาในเรือนพักได้สำเร็จ เฟรินงัดวิชาตีนเบาประจำตัวหัวขโมยขึ้นมาใช้ เธอย่องอย่างเงียบกริบขึ้นไปยังชั้นบนแล้วตรงเข้าไปในห้องว่างที่อยู่ข้างห้องของคาโลแล้วออกไปยังระเบียงก่อนจะปีนไปยังระเบียงของห้องคาโลแล้วย่องเข้าไปในห้องได้สำเร็จ ภาพแรกที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างอันคุ้นเคยที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่
“คาโล..........” เธอลองเรียกคาโลดูอย่างไม่แน่ใจ
“นี่ฉันเองนะ เฟริน เดอเบอโรว์ คู่หมั้นของนายไง” พูดพลางค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าถึงตัวจู่ๆคาโลก็หมุนตัวกลับมาอย่างกระทันหันทำให้เธอผงะ ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์ขึ้น ทันใดนั้นเฟรินก็รู้สึกราวกับมีมือล่องหนมาบีบคอของเธออยู่ เธอเอามือมาจับที่คอของตนเองทันทีเพื่อพยายามจะแกะมือล่องหนนั่นออกแต่ก็ไม่เป็นผล ตัวของเธอค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นเรื่อยๆ
”คะ.....คาโล นี่ฉันเอง เฟรินไง นะ...นายจำไม่ได้หรอ” ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงจ้องเขม็งไปยังร่างที่บัดนี้ลอยอยู่กลางห้องตาไม่กระพริบ ใบหน้าของเฟรินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะขาดอากาศหายใจ และในวินาทีที่เธอกำลังจะหมดลมจู่ๆแรงบีบที่คอก็หายไป ร่างของเธอร่วงลงไปนอนกองบนพื้นหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรง
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่ส่งมาจากใครซักคนในสามคนนั้น เฟรินรีบพยุงตัวขึ้นแล้วพุ่งตัวหมายจะกลับออกไปทางระเบียง แต่ฉับพลันประตูก็ปิดใส่หน้าเธอดังปัง ร่างของเธอถูกแรงอัดกระแทกเข้ากับประตูก่อนที่ร่างของคาโลจะตามมาประกบติดๆ มือใหญ่บีบแขนทั้งสองข้างของเธออย่างแรงจนเจ็บไปหมด
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะคาโล ปล่อยฉันสิ!” ตามคำขอ คาโลเหวี่ยงร่างเฟรินลงกลางพื้นห้องอย่างแรง

“หึ พวกแกคิดจริงๆน่ะหรอ ว่าฉันไม่รู้ว่าพวกแกแอบปลอมตัวเข้ามาเป็นทหารในกองทัพฉันน่ะ” ปรินซ์อาเธอร์กล่าวกับโรเวน คิลและโรที่ถูกจับมัดไว้รวมกัน
“แล้วเราจะเอายังไงกับธิดาแห่งความมืดที่กำลังเข้าไปหาเจ้าชายคาโลดีครับ” ทหารคนสนิทคนหนึ่งถามขึ้น
“แกอย่าบังอาจทำอะไรเฟรินเป็นอันขาดนะ!!” คิลโพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดอยู่รอบตัว
“หึ ฉันไม่เปลืองแรงไปจัดการหรอกเพราะยังไงซะคาโลก็จัดการแทนฉันอยู่แล้ว เผลอๆอาจจะหนักกว่าให้ฉันเป็นคนจัดการเองซะอีกนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสามคนหวาดวิตกกับชะตากรรมของเฟรินไปตามๆกัน

ตอนนี้คาโลตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด หรือกำหนัด.......อะไรบางอย่างในตัวเฟรินกระตุ้นความกำหนัดในตัวเขาอย่างแรงกล้า ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวคือเขาต้องการผู้หญิงคนนี้ และเขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไหนง่ายๆแน่
ภาพคาโลที่ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาหาเธอพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อลงทีละเม็ดทำให้เฟรินรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ความทรงจำเมื่อครั้งที่คาโลเมาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆจนทำให้เธอตระหนก เฟรินกระเถิบตัวหนีโดยอัตโนมัติ เธอถอยหนีไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีหลังก็ติดกับผนังห้องเสียแล้ว เธอหันไปมองกำแพงอย่างตกใจแต่ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อหันกลับมาพบกับใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามาใกล้เธอจนจมูกชนกัน วงแขนแกร่งกักตัวเธอไว้ทั้งสองด้านจนไม่สามารถหนีไปไหนได้ จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนจะขบเม้มลงไปแรงๆจนทำให้เฟรินเจ็บจนต้องเผลอส่งเสียงร้องออกมา
“คาโลหยุดนะ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” เฟรินพยายามผลักร่างหนาให้ออกไปพ้นจากตัวแต่คาโลกลับยึดข้อมือทั้งสองของเธอไว้แล้วกดเข้ากับกำแพง ริมฝีปากหยักฉกลงมาช่วงชิมความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มด้วยความหิวกระหาย รสจูบอันหยาบโลนทำให้เฟรินยิ่งตระหนกมากกว่าเดิม เมื่อมือถูกพันธนาการไว้เธอจึงใช้เท้าที่เป็นอิสระยันเข้าให้ที่กลางอกจนคาโลกระเด็นไปข้างๆ เธอรีบใช้โอกาสนี้วิ่งตรงไปยังประตูห้องแต่ความไวของหัวขโมยมีหรือจะสู้ความเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของซาตาน คาโลตะครุบตัวเธอไว้ก่อนจะจับกดลงบนพื้นแล้วตามมาคร่อมทับทันที ความพยายามที่จะหนีของเฟรินทำให้คาโลโมโหขึ้นมา เขากระชากเสื้อของเธอออกอย่างแรงจนขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะก้มลงขบกัดยอดอกสีทับทับทิมอย่างแรงจนเธอน้ำตาไหล มือแกร่งก็ไม่ปล่อยให้ว่างจัดการกับเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของเธอจนหมดสิ้นก่อนจะส่งนิ้วหยาบเข้าไปทักทายกับส่วนล่างอย่างช่ำชอง ส่วนมืออีกข้างก็บีบขยำทรวงอกอิ่มอย่างเมามัน
เมื่อหยอกล้อกับร่างกายของเธอจนพอใจแล้วคาโลก็จัดการถอดเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของตนออกจนหมดก่อนจะจับแก่นกลางกายที่แข็งขืนเต็มที่ถูไถเข้ากับปากทางรักของหญิงสาว
“ฮรึก คาโล อย่าทำอย่างนี้เลยนะฉันขอร้อง สุดท้ายคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือตัวนายเองนะ” เฟรินกล่าวทั้งน้ำตา มือเรียวดันอยู่ที่หน้าท้องแกร่งแต่คาโลก็ไม่ได้สนใจเธอแต่อย่างใด มือหนาจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอรวบขึ้นไว้เหนือหัวก่อนจะก้มลงประกบจูบปิดปากแล้วดันส่วนแข็งขืนเข้าไปทีเดียวจนสุด เฟรินสะดุ้งเฮือกผวารับสิ่งใหญ่โตที่รุกล้ำเข้ามาในกายเธออย่างกระทันหัน คาโลขยับสะโพกทันทีอย่างคนเอาแต่ใจโดยไม่สนใจว่าเธอจะพร้อมหรือไม่ ปลายเท้าเรียวจิกลงกับพื้นอย่างพยายามเกร็งต้านความเจ็บ เปลือกตาบางปิดลงอย่างจำใจปล่อยให้น้ำตารินไหลลงมาไม่ขาดสาย ถึงแม้ปากของเธอจะโดนประกบปิดอยู่ด้วยปากหยักแต่เสียงสะอื้นปนเสียงครางก็ยังหลุดรอดออกมาเป็นระยะเพราะความรุนแรงของคนบนร่างที่โถมเข้าหาเธออย่างไม่ลดละราวกับราชสีห์กระหายเลือดที่หิวโซมาหลายวัน
“ อึก อ้ะ ฉะ ฉันเจ็บ......” คาโลผละจูบออกแล้ว มือแกร่งปล่อยให้มือเธอเป็นอิสระแต่เปลี่ยนมาจับขาของเธอให้แยกออกกว้างแทน เขารั้งสะโพกอิ่มกระแทกเข้าหาตัวอย่างแรงทำให้แก่นกายเข้าไปได้ลึกจนเฟรินรู้สึกจุกไปหมด มือเรียวที่เพิ่งเป็นอิสระยื่นไปดันหน้าท้องแกร่งเอาไว้หวังจะช่วยให้สะโพกแกร่งผ่อนแรงลงได้บ้างแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคาโลยังคงกระแทกกระทั้นเข้าหาเธออย่างรุนแรงแถมยังเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าใกล้จะปลดปล่อยเต็มทีจนเฟรินสั่นคลอนไปทั้งร่าง มือเรียวจึงจำต้องเปลี่ยนมาจับอยู่ที่แขนแกร่งแทนเพื่อเป็นหลักยึด
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา คาโลลลลลลล” มือเรียวจิกเล็บลงแขนแขงแกร่งก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเมื่อคาโลเร่งความเร็วจนถึงจุดสูงสุดแต่จู่ๆเขาก็หยุดกระทันหันแล้วถอดถอนตัวตนออกจากตัวเธอ มือแกร่งดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะจิกลงบนกลุ่มผมทำให้เธอเชิดหน้าขึ้น เขาจ่อตัวตนเข้าที่ริมฝีปากอิ่มจึงทำให้เธอรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร เฟรินพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่คาโลกลับใช้มือบีบคางของเธอไว้แล้วบังคับให้เธอเปิดปากออกก่อนจะดันตัวตนเข้าไปจนกระแทกกับเพดานปาก มือแกร่งจับหัวของเธอให้ขยับเร็วๆก่อนที่เขาจะปลดปล่อยเข้าไปในปากเธอจนล้น เฟรินเผลอกลืนน้ำรักบางส่วนเข้าไปด้วยความตกใจก่อนจะสำลักบางส่วนออกมาทำให้มันหยดเลอะเทอะไปทั่วตัว
ภาพปากอิ่มบวมแดงและร่างเปลือยเปล่าขาวเนียนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักของเขาเองกระตุ้นให้ไฟราคะในตัวลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว คาโลอุ้มเฟรินขึ้นมาจากพื้นก่อนจะโยนลงบนเตียงกว้างอย่างไม่ปราณี เขาชันเข่าลงบนเตียงก่อนจะพลิกร่างบางให้คว่ำหน้าลงแล้วดึงสะโพกอิ่มเข้าหาตัว แก่นกลางกายที่แข็งชันขึ้นอีกครั้งสอดรับเข้าพอดีกับสะโพกอิ่มที่ถูกรั้งเข้ามาแล้วเริ่มกระแทกอย่างรัวเร็วทันทีทำให้เฟรินต้องรีบเอามือจับหัวเตียงเอาไว้เพื่อประคองตัว มือแกร่งบีบขยำแก้มก้นมนแล้วช่วยเน้นย้ำให้ตัวตนของเขาเข้าไปได้ลึกมากขึ้นทุกครั้ง มือแกร่งดันสะโพกอิ่มออกจนเกือบสุดความยาวแกนกายของเขาแล้วดึงรั้งกลับมาให้กระแทกหน้าขาอย่างแรง เฟรินสะดุ้งเฮือกเมื่อตัวตนของคาโลกระแทกตรงจุดสำคัญพอดี คาโลยังคงทำแบบเดิมซ้ำเรื่อยๆแต่เร่งความเร็วและความแรงขึ้นจนเฟรินทนไม่ไหว ร่างบางกระตุกเกร็งสองสามครั้งก่อนจะปล่อยน้ำใสๆให้ไหลออกมาจากช่องทางรักจนเปียกที่นอนไปหมด มือเรียวหมดแรงที่จะยึดเกาะกับหัวเตียงทำให้ร่างบางหล่นลงไปฟุบกับหมอน แต่สะโพกอิ่มยังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ถึงแม้เธอจะถึงจุดสูงสุดไปแล้วแต่คาโลยังคงไม่ได้ปลดปล่อย เขารั้งสะโพกอิ่มเอาไว้แล้วกระแทกรัวแรงกว่าเดิมจนเฟรินต้องจิกหมอนเอาไว้แน่น เพราะเธอปลดปล่อยไปแล้วทำให้ตอนนี้หลงเหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ ยิ่งคาโลกระแทกเข้ามาลึกเท่าไหร่เธอก็ยิ่งจุกจนน้ำตาไหล เฟรินทำได้เพียงซบหน้าเข้ากับหมอนเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ความอุ่นร้อนที่วาบขึ้นในช่องท้องทำให้เธอรู้ว่าคาโลปลดปล่อยแล้ว เธอค่อยๆคลายมือที่จิกหมอนออกด้วยความโล่งใจแต่แล้วก็ต้องจิกลงไปใหม่เมื่อเขายังไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ความต้องการของเขามีมากมายแค่ไหนแต่ดูเหมือนทันทีที่ปลดปล่อยออกไปแก่นกายใหญ่ก็แข็งขืนขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เธอได้แต่บอกตัวเองว่าอีกไม่นานมันก็จะจบลง อีกไม่นาน น้ำตาของเธอจะได้หยุดไหลเสียที สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่หลับตาลงแล้วหวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง คาโลจะกลับมาเป็นคนเดิม.............



มาลงล้าววววว กรี๊ดดดดด ในที่สุดดด ตอนที่คิดพลอตไว้ชาติกว่าก็แต่งเสร็จซักที คือชอบมาก ใครไม่ชอบเราไม่รู้แต่เราชอบ 555555555555555555555555555555555555

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 3 : เบื้องหลัง

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A          


สัมผัสเปียกๆที่บริเวณใบหน้าทำให้สาวน้อยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงรู้สึกตัว เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบกับใบหน้าหวานของเรนอนที่เป็นคนเช็ดตัวให้เธออยู่
"อ้าว ตื่นแล้วหรอจ๊ะเฟริน"
"ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วนี่กี่โมงแล้ว" เฟรินมองไปรอบๆก่อนจะพบว่าตนอยู่ในห้องของตนเองกับเรนอนแทนที่จะเป็นห้องของคาโล
"ก็คาโลอุ้มมาส่งน่ะสิ แล้วนี่ก็สิบเอ็ดโมงแล้วจ้ะ"
"อะไรนะ! โอ๊ย!!" คำตอบของเรนอนทำเอาคนเพิ่งตื่นตาลุกโพลงกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันทีอย่างไม่เจียมตัว ความเจ็จากช่วงท้องแล่นริ้วขึ้นมาจนทำเอาทรงตัวแทบไม่อยู่ล้มลงมากองอยู่บนเตียงตามเดิม
"ใจเย็นๆสิคะคุณเฟริน คุณเฟรินเจ็บอยู่จะรีบลุกขึ้นมาทำไมกัน"
"ก็จะไม่ให้รีบได้ยังไงเล่า ก็วันนี้มีเรียนกับอาจารย์แม่มดวิงกี้สุดโหด ฉันขาดเรียนไปดื้อๆแบบนี้ มีหวังโดนทำโทษสาปให้เป็นตัวเฟเรตแน่เลย"
"อ่อ ก็นึกว่าตกอกตกใจเรื่องอะไร ถ้าเรื่องอาจารย์แม่มดวิงกี้คุณเฟรินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คาโลจัดการลาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วอีกอย่างทุกคนก็รู้กันทั้งนั้นว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณเฟริน อาจารย์ท่านคงจะเข้าใจแหละค่ะ"
"ห้ะ รู้เรื่องเมื่อคืนงั้นหรอ?" เฟรินถามขึ้นด้วยความตกใจเพราะคิดว่าเรื่องเมื่อคืนหมายถึงเรื่องเธอกับคาโล........
"ก็ใช่น่ะสิคะ เรื่องที่คุณเฟรินโดนนายคนเดินหมากจากปราสาทขุนนางทำร้ายน่ะ เค้ารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ นายนั่นจะต้องถูกลงโทษแน่นอน เรื่องนี้ท่านเลโมธีรับทราบแล้ว และกำลังดำเนินการตัดสินโทษอยู่"
"อ่อ........งั้นหรอ" โล่งไปที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องไอ้บ้ามาร์คัสนั่นนี่เอง
"ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูเรียกให้สาวน้อยทั้งสองในห้องหันไปสนใจมอง
"เป็นไงบ้างล่ะแกน่ะ ยังไม่ตายใช่มั้ย" คีล ฟีลมัสเพื่อนรักนักฆ่าแห่งซาเรสทักขึ้นให้คนป่วยรู้สึกเหมือนเท้าจะกระตุกหันไปแยกเขี้ยววับให้
"นอกจากจะยังไม่ตายแล้วยังมีแรงมากพอจะกระทืบคนด้วยนะ อยากลองมั้ยล่ะ?" พูดไม่ทันขาดคำดีก็ทำท่าจะยันโครมเข้าให้ที่หน้าอกเพื่อนรัก แต่แค่ยกขาขึ้นก็รู้สึกเจ็บร้าวขึ้นมาทันทีจนต้องร้องออกมาเสียงดัง
"โอ๊ย!!!"
"เฟริน!" เสียงคาโลร้องเรียกเธออย่างตกใจเมื่อเข้ามาได้ยินเฟรินร้องเสียงดังพอดี เขารีบปราดเข้ามาประคองเธอไว้อย่างเป็นห่วงจนเพื่อนๆต้องแอบกลั้นยิ้ม
"เป็นอะไรมากรึเปล่า เจ็บมากมั้ย"
"เอ่อ.....ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ" เอ่ยตอบอย่างเขินๆแล้วพยายามหลบนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง
"เห้ออออ เราไปกินข้าวกันดีกว่าเรนอน ตอนนี้เฟรินคงไม่ต้องการเราแล้วล่ะ มีหมอคอยดูแลแบบส่วนตัวขนาดนี้ คงจะหายเร็วกว่าให้เราดูแลเป็นสิบเท่า เอ๊ะ หรือจะหายช้าเพราะมัวแต่รักษาด้วยท่าแปลกๆกันนะ...."
"ไอ้คิล!! หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ จะไปกินข้าวกินหญ้าที่ไหนก็ไปเลยไป๊!!" โวยวายพลางโยนหมอนเข้าใส่เพื่อนไม่ยั้งจนหลบแทบไม่ทัน คิลหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะโอบไหล่เรนอนแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่หัวขโมยขี้เขินให้นอนแก้มแดงเป็นลูกตำลึงอยู่กับเจ้าชายน้ำแข็งที่มองมาด้วยสายตาพราวระยับพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ยิ้มบ้าอะไรของนายห้ะ!"
"ก็ตอนเธอเขิน มันน่ารักดีนี่" กระซิบแผ่วเบาพร้อมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกัน การกระทำของคาโลยิ่งทำให้แก้มที่แดงอยู่แล้วของเฟรินแดงยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานเสหลบไปด้านข้างเพราะเขินอายเกินกว่าจะทนมองหน้าของคาโลไหวยิ่งทำให้คนขี้แกล้งได้ใจอยากแกล้งมากกว่าเดิม
"ว่าแต่......คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง มามะมาให้หมอตรวจอาการหน่อย จะได้รู้ว่าต้องรักษาด้วย ท่าไหน" กล่าวพลางจมูกคมก็เริ่มก้มลงซุกไซร้ไปทั่วซอกคอขาวที่บัดนี้มีรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วจากฝีมือของเขาเองเมื่อคืนนี้ ปากหยักพรมจูบแผ่วเบาทับรอยแต่ละรอยเพื่อตอกย้ำแสดงความเป็นเจ้าของจนเฟรินเริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับเขาด้วย แต่แล้วเธอก็ได้สติเมื่อมือใหญ่เริ่มปลดกระดุมเสื้อนอนตัวบางของเธออย่างรวดเร็ว เฟรินรีบดันหน้าอกของคาโลออกทันที
"ไม่เอานะคาโลลลล ฉันระบมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย" กล่าวด้วยเสียงออดอ้อนพร้อมทำหน้าดุๆอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าจะทำให้คาโลกลัวได้ แต่ตรงกันข้ามนอกจากมันจะไม่ได้น่ากลัวแล้วเขากลับคิดว่ามันน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวจนอยากจะจับมาฟัดให้หนำใจอีกต่างหาก
"ก็ใครใช้ให้เธอมายั่วฉันก่อนเองล่ะ" กล่าวพลางก้มลงคลอเคลียไม่ห่างจากริมฝีปากอวบอิ่มที่ตอนนี้บวมช้ำนิดหน่อยจากสมรภูมิรักอันดุเดือดเมื่อคืนทำให้เฟรินต้องดันใบหน้าคาโลให้ห่างจากตัวอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
"ฉันทำไปก็เพราะฤทธิ์ยาทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจทำซักหน่อย"
"นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจ ยังทำฉันคลั่งได้ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าตั้งใจจะขนาดไหนกันนะ......." ริมฝีปากหยักก้มลงประทับจูบแผ่วเบาทำให้เฟรินต้องหลับตาพริ้มรับจูบแต่โดยดี
"เธอรู้มั้ย...."ผละออกมาพูดก่อนจะประกบจูบลงไปอีกหนึ่งครั้ง
"ไม่ว่าเธอจะทำอะไร....." อีกหนึ่งครั้ง......
"มันก็เป็นการยั่วฉันทั้งนั้นแหละ....." และอีกครั้ง......
"ไม่ว่าจะตอนที่เธอยิ้ม" ปากหยักเปลี่ยนมาพรมจูบที่บริเวณสันกราม
"ตอนที่เธอโกรธ" ไล้ขึ้นไปเรื่อยๆยังขมับ
"หรือตอนที่เธอครางเรียกชื่อฉัน" กระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูด้วยเสียงแหบพร่าทำเอาเฟรินขนลุกซู่ไปหมด 
"รู้มั้ยว่ามันทำให้ฉันอยากขย้ำเธอขนาดไหน" คาโลผละออกจากตัวของเฟรินแล้วแต่สายตาที่มองมายังเธอราวกับจะกลืนกินไปทั้งตัวนั้นทำให้เธอถึงกับต้องแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก 
"แต่ฉันก็ต้องรู้จักหักห้ามใจตัวเองถ้าไม่อยากให้เธอระบมไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ได้เวลากินข้าวแล้วล่ะ จะได้กินยา" กล่าวพลางหันไปจัดการกับถาดอาหารที่เขาถือมาให้เฟรินตั้งแต่ตอนแรกทำให้เฟรินถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว

"อิ่มแล้วล่ะ" เฟรินกล่าวขึ้นทำให้คาโลที่กำลังจะตักข้าวป้อนเธออีกคำต้องชะงักมือลง
"อิ่มได้ยังไง เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเองนะ" ปกติเฟรินกินจุอย่างกับอะไรดี ครั้งนี้อาการคงหนักจริงๆถึงกับกินข้าวไม่ลงมันทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
"ก็......ก็คนมันอิ่มแล้วนี่จะให้ทำยังไงเล่า" จริงๆแล้วเธอไม่ได้อิ่มหรอก แต่เพราะคาโลที่เอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบ มองตามปากทุกครั้งที่เคี้ยวขนาดนี้ ใครมันจะไปกินลงกัน
"ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็กินยานี่ซะ" คาโลยื่นถ้วยใส่ยามาให้พร้อมกับน้ำเปล่าเต็มแก้ว เฟรินจึงรับมากินแต่โดยดีก่อนจะยื่นแก้วน้ำคืนให้คาโล
"กินยาเสร็จแล้วก็พักผ่อนซะ ฉันต้องรีบไปเรียนต่อแล้ว" กล่าวพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่เฟรินกลับรั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อนทำให้คาโลต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษ? เรื่องอะไร?"
"ก็เรื่องที่ฉันไม่ยอมเชื่อนายแต่แรกไง ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันยอมฟังนายดีๆก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
"ไม่หรอก แต่สัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้มั้ย ว่าจะไม่ดื้อกับฉันอีก" กล่าวพลางลูบหัวทุยสวยของเฟรินเบาๆ เฟรินยกมือขึ้นจับมือที่กำลังลูบหัวเธออยู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างแข็งขัน
"อื้อ! ได้เลย ต่อไปนี้เฟริน เดอเบอโรว์คนนี้จะเป็นเด็กดี ไม่ว่าคาโลจะสั่งให้ทำอะไรก็จะยอมทำตามทุกอย่างเลย!" กล่าวเสียงสดใสพร้อมส่งยิ้มให้จนตาหยี
"จะยอมทำตามทุกอย่างจริงๆหรอ?" กล่าวเสียงเจ้าเล่ห์แล้วเลื่อนมือที่อยู่บนหัวเฟรินลงมาเชยปลายคางมนแทน ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนเฟรินเริ่มหายใจติดขัด เธอรีบดันตัวคาโลออกแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทันที
"นายไปเรียนได้แล้วไป บอกเองไม่ใช่หรอว่าถ้ากินยาเสร็จแล้วให้ฉันรีบพักผ่อนน่ะ"
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ งั้นฉันไปล่ะ" พูดกลั้วหัวเราะแล้วจู่ๆก็จู่โจมจุ๊บเข้าที่แก้มนวลแล้วเดินออกไปพร้อมหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีทิ้งให้คนโดนขโมยหอมแก้มนอนบิดตัวเขินไปมาอยู่คนเดียว
"ฮึ่ย! กะจะให้เขินจนตัวระเบิดตายไปเลยรึไงห้ะ อิตาเจ้าชายน้ำแข็งงี่เง่า!"


"คิง ดีหก รุกฆาต!" สิ้นเสียงของเฟรินผู้เดินหมากกระดานเกียรติยศ คาโลในฐานะคิงก็หายตัวไปปรากฏในเขตแดนดีหกทันที คทาหัวลูกแก้วสีดำปักลงบนพื้นดินก่อนจะเริ่มร่ายมนตร์ทำให้พายุหิมะลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น พายุเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทางคิงของปราสาทขุนนาง ทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัวถูกดูดหายเข้าไปในพายุทันที
สัญญาณธงที่ยกขึ้นยอมแพ้จากผู้เดินหมากของฝ่ายปราสาทขุนนางทำให้คาโลหยุดร่ายเวทย์ทันที ร่างขาวซีดที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งของคิงปราสาทขุนนางตกลงบนพื้นดินก่อนจะอันตรธานหายไปด้วยเวทย์ของผู้ใช้เวทย์เพื่อนำตัวไปรักษา เสียงเฮกึกก้องดังลั่นขึ้นประกาศชัยชนะของป้อมอัศวินเรียกร้อยยิ้มขึ้นประดับบนใบหน้าของคิงผู้กำชัย แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามากอดอย่างแรงจนรู้สึกจุกหน่อยๆ
"เย้ๆๆๆๆๆ เราชนะแล้ว เราชนะแล้วววววว" กล่าวพร้อมกับกระโดดขึ้นลงทั้งๆที่ยังกอดคาโลไว้แน่นทำให้คาโลต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะโอบแขนรัดร่างเล็กไว้ในอ้อมอกให้แน่นขึ้น
"ยินดีด้วยนะที่เอาชนะปราสาทขุนนางได้สำเร็จ.........เพราะโชคช่วย" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่ต้องผละออกจากกันแล้วหันไปหาต้นตอของเสียงก็ปรากฏว่าเป็นปรินซ์อาเธอร์ ออฟซาเรส หัวหน้าปราสาทขุนนางนั่นเอง
"ท่านหมายความว่ายังไงที่ว่าโชคช่วย" เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
"เอ๊ะ.......หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องเป็น 'เจ้าชาย' ต่างหากที่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้" กล่าวพร้อมรอยยิ้มยียวนชวนให้คิ้วกระตุก
"ท่านจะพูดอะไรกันแน่ปรินซ์อาเธอร์" เฟรินเริ่มจะควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่โพล่งถามออกไปเสียงแข็ง
"ก็แค่อยากจะมาเตือน เพราะคราวหน้า เจ้าชายอาจจะขี่ม้าขาวมาช่วยไม่ทันก็ได้นะ" กล่าวจบก็แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วเดินหันหลังกลับไปทันที ทิ้งให้เฟรินที่หัวเสียอย่างหนักแทบพุ่งเข้าไปต่อยแต่ยังดีที่มีคาโลรั้งเอาไว้เสียก่อน
"ปล่อยนะ ฉันจะไปเอาเลือดปากมันออก!"
"ใจเย็นน่าเฟริน หมอนั่นอาจจะแค่แพ้แล้วพาลเลยมายุให้แกหัวเสียเล่นๆ ถ้าแกขืนทำร้ายมันขึ้นมาจริงๆอาจจะโดนปรับแพ้ก็ได้นะ" คิลที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆมาตลอดรีบเข้ามาช่วยคาโลปรามเฟรินไว้อีกแรง
"แต่ฉันสัมผัสได้ว่า อาเธอร์ไม่ได้แค่พูดยั่วโมโหเล่นๆนะ" คาโลเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนต้องหันไปสนใจ
"นายหมายความว่า......."
"เขาอาจจะหมายความตามที่พูดจริงๆ มาร์คัสเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่ง ต่อไปเขาอาจจะปล่อยไพ่อะไรออกมาจัดการกับเฟรินอีกก็ได้ ใครจะรู้
"อะไรกัน เขาสั่งให้มาร์คัสมาทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นกับฉันเพียงแค่ต้องการให้ปราสาทขุนนางชนะหมากกระดานเกียรติยศหรอ?"
"อาจจะใช่ หรือไม่มันก็อาจจะมีอะไรที่มากกว่าหมากกระดาษเกียรติยศก็ได้........."


ห้องนั่งเล่นรวมของป้อมอัศวินอึกทึกไปด้วยเสียงโหวกเหวกของนักเรียนปีสามที่กำลังฉลองชัยชนะกันอย่างสนุกสนาน อาหารมากมายถูกเหมามาจากโรงอาหารดรากอน แถมครี้ด ธันเดอร์ยังแอบติดสินบนแม่ครัวให้ซื้อสุราและของมึนเมาทั้งหลายแหล่มาให้อีกต่างหาก ดังนั้นสภาพของทุกคนในตอนนี้จึงเละเทะไม่ต่างอะไรกับสภาพของห้องนั่งเล่นเลย
"คุณคิลพอเถอะค่ะ คุณคิลเมาแล้วนะ" เรนอนกล่าวเป็นรอบที่สามพร้อมกับยื้อแก้วเหล้าของคิลไว้
"ใครบอกกัน ฉันยังม่ายมาวววววววว" คิลพูดด้วยเสียงยานคางที่ฟังยังไงก็เป็นเสียงของคนเมาทำเอาเรนอนเหนื่อยใจ
"ยังจะบอกว่าไม่เมาอีก หน้าแดงไปหมดแล้วเห็นมั้ย" กล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดซึมบนใบหน้าของคิลให้
"ก็ได้ๆ พอแล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณเรนอนพาฉันไปพักที เริ่มรู้สึกมึนๆหัวแล้วเหมือนกัน" พูดจบก็วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะทำให้เรนอนโล่งใจเป็นอย่างมากจึงรีบพยุงให้คิลลุกขึ้นยืนทันที ทุกการกระทำของทั้งคู่ล้วนอยู่ในสายตาอันเฉียบแหลมขอหัวขโมยอย่างเฟรินทั้งสิ้น
"จะไปนอนกันแล้วหรอ" เฟรินถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินผ่านหน้าเธอพอดี
"ใช่ค่ะคุณเฟริน คุณคิลเมามากแล้ว" คำตอบของเรนอนทำเอาเฟรินประหลาดใจไม่น้อย คนอย่างไอ้คิลเนี่ยนะเมามาก ปกติมันคอแข็งหยั่งกะอะไรดี ไม่มีทางที่กินไปแค่นั้นแล้วจะเมามากแน่ๆ แต่แล้วความสงสัยก็คลี่คลายลงเมื่อไอคิลมันกำลังทำปากขมุบขมิบส่งสัญญาณมาให้เธอยิกๆ เธอจึงถึงบางอ้อรีบพยักหน้าเออออให้เรนอน เรนอนจึงพยุงคิลเดินต่อไป แถมไอคิลยังหันกลับมาพูดขอบคุณแบบไม่มีเสียงแล้วขยิบตาให้เธออีกต่างหาก
"สงสัยคืนนี้นายจะไม่ได้กลับห้องซะแล้วล่ะคาโล" พูดพลางหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้คาโล
"หืม ทำไมล่ะ? หรือว่า........เธออยากให้ฉันอยู่กับเธอทั้งคืนหรอ?" คำกล่าวที่แหวกไปคนละทางทำเอาเฟรินที่กำลังยกเหล้าขึ้นจิบสำลักออกมาแทบไม่ทัน
"จะบ้าหรอ! เป็นเพราะไอ้คิลต่างหาก! มันแกล้งทำเป็นเมาแล้วให้คุณเรนอนไปส่งที่ห้อง นายคิดว่ามันจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ"
"อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคืนนี้ฉันจะกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องของเธอก็จะว่างด้วยสินะ....." กล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มของเธอก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนทำเอาเธอเริ่มหายใจติดขัด และด้วยความเขินอายเธอจึงรีบผลักอกของคาโลให้ออกห่างจากตัวก่อนจะรีบพูดแก้เขินออกมาเสียงดัง
"นายคิดบ้าอะไรของนายอยู่เนี่ย!"
"อ้าว ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ฉันกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องเธอก็ว่าง ถ้าไม่ให้ฉันไปนอนห้องเธอจะให้ฉันไปนอนที่ไหนล่ะ หรือจะให้ฉันนอนอยู่กับกองขยะในห้องนั่งเล่นรวมนี่หรอ?"
"ใครจะไปทำอย่างนั้นกับคู่หมั้นตัวเองลงกัน!"
"นั่นไง เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นคืนนี้ฉันก็ต้องไปนอนกับเธอก็ถูกแล้ว" กล่าวจบก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยให้ทำเอาเฟรินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สาบานสิว่าจะแค่นอนเฉยๆน่ะ โอ๊ย พวกผู้ชายนี่มันหื่นเหมือนกันหมดเลยรึไงนะ! อย่าให้กลับไปเป็นผู้ชายบ้างแล้วกัน!!!!!!!

เรนอนพยุงคิลมาจนถึงห้องของเขา เธอพยายามเปิดประตูด้วยมือข้างเดียวก่อนจะพยุงคิลเข้าไปในห้องอย่างทุลักทุเลโดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าคิลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบคอเธออยู่ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เรนอนพยุงเขาไปจนถึงเตียงก่อนจะพยายามประคองให้คิลนอนลงไปบนเตียงแต่เพราะทรงตัวไม่ดีหรือเพราะแรงฉุดก็ไม่อาจรู้ได้ทำให้ทั้งคู่ล้มลงบนเตียงอย่างแรง แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆคิลก็ผลักเธอให้มาอยู่ใต้ร่างของเขาแล้วกักเธอเอาไว้ในวงแขน นัยน์ตาสีม่วงสวยที่จ้องมายังเธอนั้นไม่เหมือนคนเมาเลยซักนิดแต่มันเหมือนกันคนที่กำลัง.......หิว มากกว่า
"คะ....คุณคิล...จะทำอะไรคะ" ถามออกมาด้วยเสียงสั่นๆอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะสายตาที่เปลี่ยนไปของคนบนร่างมันทำให้เธอขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก 
"ฉันรักเธอนะ เรนอน....." กล่าวพลางค่อยๆก้มหน้าลงมาหาทำเอาเรนอนต้องดันอกของเขาเอาไว้ทันที
"คุณคิลต้องเมามากแล้วแน่ๆ ปล่อยฉันเถอะค่ะ คุณคิลจะได้พักผ่อน"
"ฉันไม่ได้เมา" เสียงที่หนักแน่นของคิลทำให้เรนอนรู้สึกแปลกใจมากเพราะมันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เมาจริงๆอย่างที่พูด ถ้าอย่างนั้นแล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?
"ฉันแค่อยากให้คุณเรนอนมาส่ง เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนบ้าง........"
"ฉันรักคุณเรนอน แล้วฉันก็ต้องการคุณเรนอน......"
"เป็นของฉันเถอะนะ....." กล่าวจบก็ค่อยๆก้มลงช้าๆเพื่อรอดูว่าเรนอนจะมีท่าทีปฏิเสธหรือไม่ คิลใจเต้นถี่ขึ้นเมื่อเห็นว่าเรนอนค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสจากเขา เขาจึงประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากเรียวสวยอย่างแผ่วเบาราวกลับมันเป็นกลีบกุหลาบที่แสนบอบบาง จูบอันอ่อนหวานเริ่มผลันแปรเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆตามห้วงอารมณ์ของคนทั้งคู่ที่พุ่งขึ้นสูง คืนนี้ทั้งคู่จะเติมเต็มความรักให้แก่กันและเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์............

หอคอยที่สูงที่สุดของปราสาทขุนนางวันนี้ไร้ซึ่งผู้คน ประกอบกับท้องฟ้าที่มืดมิดไร้ดาวเพราะเป็นคืนเดือนมืดยิ่งทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบยิ่งขึ้นไปอีก แตกต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาอย่างลิบลับ เขาทำงานไม่สำเร็จ ท่านพ่อต้องไม่ไว้ใจให้เขาดำเนินการด้วยตัวเองแล้วแน่ๆ
เสียงรอยเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปมองก่อนจะพบกับบุคคลที่เขากำลังรอพบอยู่ ทหารส่งข่าวทำความเคารพเขาก่อนจะส่งม้วนกระดาษนำสาส์นจากคิงแห่งซาเรส พ่อของเขามาให้ เขารับมาถือไว้ในมือก่อนจะเปิดอ่านด้วยความกังวล

“แกทำงานพลาด ฉันผิดหวังในตัวแกมาก” แค่ประโยคแรกก็ทำเอาเขาใจเสียแล้ว
“แต่เรื่องที่มันพลาดไปแล้วในอดีตเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง” ประโยคต่อมาทำให้เขาใจชื้นขึ้นเป็นกองจึงรีบอ่านต่อทันที
“เป้าหมายของเรามีความแข็งแกร่งมากก็จริงแต่มันก็มีจุดอ่อนที่สำคัญมากเหมือนกันอย่างที่แกก็รู้ดีถึงได้พยายามใช้จุดอ่อนนั่นจัดการกับมันแต่ก็ล้มเหลวเพราะแผนการที่หละหลวมมากเกินไป แต่ครั้งนี้เราจะต้องทำสำเร็จเพราะทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอให้ถึงเวลาที่จะลงมือเท่านั้น”
“เวลาที่ว่าคืองานแต่งตั้งเจ้าชายรัชทายาทของคาโนวาล มันเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงตัวคาโลและจัดการกับเขาได้ง่ายที่สุด ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับงานแต่งตั้งจะเป็นช่องโหว่อย่างดีให้เราลงมือได้ แต่เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด  เพราะครั้งนี้หากเราพลาดนั่นอาจจะหมายถึงชีวิตและชะตากรรมของประเทศเราที่จะต้องตกอยู่ในอันตรายแทน”
“งานนี้หากเจ้าทำสำเร็จนอกจากซาเรสที่เจ้าจะได้ไปครอบครองแล้ว ทั่วทั้งเอเดน หรือแม้แต่เดมอสก็ต้องยอมมาสยบแทบเท้าเจ้า ฉะนั้นทำให้ดี ห้ามพลาดเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
เนื้อความในจดหมายจบลงแต่เพียงเท่านี้ มันจุดประกายความหวังให้โชติช่วงขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะทำให้แน่ใจว่าท่านพ่อจะไม่ผิดหวังในตัวเขาเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เขาทำการจุดไฟเผาม้วนกระดาษจนไหม้เกือบหมดก่อนจะทิ้งเศษกระดาษที่เหลือลงบนพื้นแล้วขยี้ให้เป็นผุยผงด้วยส้นรองเท้า
“ฝากกลับไปบอกท่านพ่อด้วยว่าวางใจได้ ครั้งนี้งานต้องสำเร็จแน่นอน ฉันสาบานด้วยเกียรติของปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน เจ้าชายใจสิงห์แห่งซาเรสเลย!


ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย พอดีเพิ่งจะสอบเสร็จก็รีบมาอัพให้ได้อ่านกันเลย ต่อไปเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะคะ จะมาอัพให้อ่านต่อกันเร็วๆนี้แน่นอน สุดท้ายนี้อย่าลืมคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นหรือให้กำลังใจกันนะคะ ^^