วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอส ตอนพิเศษ 5 มือใหม่หัดยั่ว [NC 20+]

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A

          หลังจากที่จับเจ้าหัวขโมยตัวดีขังอยู่ในห้องกับเจ้าชายน้ำแข็งได้สำเร็จคิลก็มานั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นรวม แต่รอแล้วรอเล่าเฟรินก็ยังไม่มีทีท่าที่จะออกมาจากห้องซักที จนกระทั่งเพื่อนทุกคนพากันไปนอนหมดแล้วคิลจึงได้ตัดใจและคิดว่าคืนนี้คงจะต้องนอนที่ห้องนั่งเล่นนี้แน่แล้ว มือใหญ่เตรียมจัดหมอนจัดที่นอนสำหรับตัวเองแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงหวานๆดังขึ้น
           "อ้าว คุณคิลยังไม่นอนหรอคะ" เรนอนถามขึ้น
           "ก็ว่ากำลังจะนอนนี่แหละ แล้วเรนอนล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก"
           "ก็เห็นคุณเฟรินยังไม่กลับมาซักทีก็เลยออกมาดูน่ะค่ะ แต่พอมาถึงหน้าห้องก็ได้ยินเสียงเอ่อ.........เสียงแปลกๆน่ะค่ะก็เลยคิดว่าคุณเฟรินน่าจะไม่กลับห้องวันนี้ แล้วก็รู้สึกเหงาๆที่วันนี้ต้องนอนคนเดียวก็..ก็เลยว่าจะออกไปเดินเล่นซะหน่อย"แก้มใสขึ้นสีจางๆ มือไม้ดูเก้กังไปหมดแถมยังพูดมากกว่าปกติเพื่อแก้เขินทำให้คิลต้องแอบอมยิ้ม
           "ถ้าอย่างนั้น ผมไปเดินเล่นด้วยได้ไหม" คำขอของคิลทำให้เรนอนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆคิลจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมๆกับเธอ
            
             คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวจึงแข่งกันส่องแสงสว่างพร่างพราวเต็มฟ้าดูน่าชมยิ่งนักโดยเฉพาะเมื่อได้มาเดินชมกับคนที่หมายปอง คิลก้มลงเก็บดอกลีลาวดีที่หล่นลงบนพื้นก่อนจะนำมาทัดไว้ที่หูของเรนอนเสริมให้ใบหน้าหวานดูหวานยิ่งขึ้นไปอีก
           "สวยดีนะ" เสียงเอ่ยเรียบๆของคนที่ทัดดอกไม้ให้เรียกให้แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อ ใบหน้าหวานก้มลงไม่สบตาด้วยความเขินอายแต่ริมฝีปากเรียวกลับยิ้มไม่หยุด ทำไมนะ ทั้งๆที่ก็มีคนมากมายที่ชมว่าเธอสวย แต่เธอกลับไม่เคยรู้สึกเขินขนาดนี้มาก่อน
           "หมายถึงดอกไม้น่ะ สวยดีนะ" คำอธิบายเพิ่มเติมทำเอาคนที่กำลังยิ้มยิ้มค้างกลางอากาศ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาสบตาพ่อตัวดีก็ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธเมื่อพบกับแววตาสั่นระริกด้วยความขบขัน ไหนจะรอยยิ้มล้อเลียนนั่นอีก ความโกรธทำเอาลืมตัวจนหมดสิ้น หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเรียบร้อยที่สุดในป้อมอัศวินกระโจนเข้าหาชายหนุ่มแล้วระดมทุบไม่ยั้ง 
           "ไอ้คุณคิลบ้าๆๆๆๆๆ กล้าดียังไงมาแกล้งฉันห้ะ! อ๊ะ! "ด้วยความไม่ทันได้ระวังทั้งคู่จึงไปสะดุดเอาก้อนหินที่อยู่บนพื้นจนล้มลงกระแทกพื้นหญ้า ร่างใหญ่นอนแผ่อยู่บนพื้นโดยมีร่างเล็กทาบทับอยู่ข้างบน มือเรียวยันพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้หน้ากระแทกแต่กลับทำให้ในตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ นัยน์ตาสีม่วงจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของสาวน้อยอย่างหลงใหล
           "สวยจัง" คิลพูดขึ้นเบาๆอย่างเลื่อนลอยแต่นั่นกลับทำให้สาวน้อยเหนือร่างหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ดวงหน้าสวยเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างฉุนเฉียว
           "หึ คราวนี้หมายถึงอะไรอีกล่ะ ดวงดาวรึไง? ฉันไม่หลงกลคุณคิลง่ายๆแล้ว!" กล่าวจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นทันทีแต่คนใต้ร่างกลับไวกว่า มือแกร่งคว้าเข้าที่ไหล่มนก่อนจะดึงให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดแล้วพลิกตัวเป็นฝ่ายคร่อมร่างเล็กไว้เสียเอง 
            "คราวนี้ฉันหมายถึงเธอจริงๆ เรนอน เธอสวย สวยมากด้วย สวยจนฉันอดใจไม่ไหว......." สายตาที่จ้องมองมายังเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันดูจริงจังและจริงใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าคมค่อยๆก้มลงมาเรื่อยๆก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออย่างแผ่วเบา สาวน้อยค่อยๆหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น คิลจูบอย่างเชื่องช้าและเนิ่นนานแต่มิได้รุกล้ำ ริมฝีปากหยักกดซ้ำๆหนักๆสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากให้มันจบลง
            คิลยังคงจ้องเข้าไปในดวงตาของสาวน้อยหลงใหลจนทำให้คนโดนจ้องทนไม่ไหวต้องหลบสายตาไปเสียก่อน เมื่อเห็นดังนั้นคิลจึงค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือให้หญิงสาวจับเพื่อประคองตัวลุกขึ้นตาม ทั้งคู่เดินกลับเข้าไปในป้อมอัศวินเงียบๆโดยไม่พูดอะไรกันเลยจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องของหญิงสาว
           "เอ่อ.......ขอบคุณมากนะคะที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉัน" หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อนหลังจากที่ทั้งคู่ยืนเก้ๆกังๆอย่างไม่รู้จะทำยังไงกันอยู่นาน
           "ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ผมไม่เคยเดินเล่นกับใครแล้วมีความสุขขนาดนี้มาก่อน" 
           "เอ่อ.....ถ้าอย่างนั้นก็......ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณคิล" ด้วยความเขินอายทำให้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่กล่าวลาแทน
            "ราตรีสวัสดิ์ครับ เรนอน" สิ้นเสียงของคิลเรนอนก็หันหลังเข้าห้องไปแล้วทำท่าจะปิดประตูทันทีแต่ติดที่ว่ามือแกร่งของชายหนุ่มดึงประตูเอาไว้เสียก่อน
            "เธอทำของตกเอาไว้น่ะ"คิลกล่าวแล้วยื่นมือที่ถือดอกลีลาวดีดอกเดิมเอาไว้ออกมาข้างหน้าก่อนจะนำมันไปทัดไว้ที่หูของสาวน้อยอีกครั้ง มือใหญ่จัดผมให้ทัดหูแล้วลูบอย่างแผ่วเบาก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มชวนฟัง
            "ดอกไม้นี่สวยดีนะ แต่เทียบไม่ได้เลยกับความสวยของเธอ ฝันดีนะเรนอน อย่าลืมฝันถึงฉันล่ะ"กล่าวจบก็ค่อยๆก้มลงจุมพิตบนหน้าผากสวยแล้วผละออกมาก่อนจะค่อยๆปิดประตูให้
            เรนอนยืนค้างอยู่หน้าประตูอยู่พักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้ ความอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้มจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือสวยหยิบดอกไม้ขึ้นมาชูไว้ตรงหน้า
            "อิตาบ้า ตบหัวแล้วลูบหลังงั้นหรอ คิดว่าฉันจะหลงกลนายอีกรึไง!" ถึงแม้ปากจะพูดว่าแต่กลับยิ้มกว้างอย่างหยุดไม่ได้ ร่างเล็กเดินไปที่โต๊ะหนังสือก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วเก็บดอกไม้เอาไว้ข้างในเพื่อที่จะได้เก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี
            ส่วนคิลที่ตอนนี้ต้องระเห็จออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นรวมก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใดเพราะคืนนี้เขามีความสุขมาก ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงบนที่นั่งยาวที่เตรียมเอาไว้เป็นที่นอนในตอนแรกแล้วนำหมอนอีกใบมากอดเอาไว้ก่อนจะซุกหน้าลงไปกับหมอน ริมฝีปากหยักยังคงคลี่ยิ้มกว้างไม่หุบอยู่ภายใต้หมอน ในหัวยังมีแต่ภาพของสาวน้อยเรนอนที่กำลังเขินอายลอยเต็มไปหมด คืนนี้เขาต้องนอนหลับฝันดีแน่ๆ เขามั่นใจ.........


หนึ่งเดือนต่อมา..........
            การเรียนปีสามไม่หมูอย่างที่คิดเมื่อเนื้อหาที่เรียนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตามชั้นปีที่สูงขึ้นไหนจะเหล่าบรรดาอาจารย์ที่ต่างพร้อมใจกันสั่งงานราวกับตั้งใจจะให้มันกองทับตัวนักเรียนตาย ไม่เพียงเท่านั้น ในเร็วๆนี้จะมีงานนิทรรศการเปิดโรงเรียนพระราชาให้เด็กต่างโรงเรียนได้เข้ามาเยี่ยมชมยิ่งทำให้ทุกคนชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด สภาพนักเรียนปีสามในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้เลยทีเดียว
           เฟรินนอนคว่ำหน้าทำการบ้านอยู่บนเตียงของคาโล คิ้วสวยขมวดมุ่นด้วยความเคร่งเครียด มือเล็กขยี้หัวตัวเองจนฟูฟ่องไปหมด เพราะวันนี้ได้เลิกเรียนเร็วจึงตั้งใจว่าจะมาลอกการบ้านคาโลซักหน่อย แต่เพราะคาโลยืนยันว่าต้องให้ฝึกทำด้วยตนเองเจ้าตัวเลยต้องมานอนแกร่วทำการบ้านอยู่บนเตียงนี่ในขณะที่เจ้าชายคนเก่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะสบายใจเฉิบ
          "โอ๊ยยยยยยยยยยย ปวดหัววววว ทำไมมันยากอย่างนี้เนี่ยยยยยยย"สาวน้อยตะโกนออกมาลั่นห้องพร้อมกับขยี้หัวอย่างแรงจนผมพันกันยุ่งเหยิงเรียกให้คาโลที่ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ต้องหันมาสนใจ
          "มันไม่ได้ยากขนาดนั้นซักหน่อย ถ้าเธอตั้งใจเรียนในห้องซักนิดเธอก็ทำได้แล้ว" คำกล่าวเรียบๆเรียกให้สาวน้อยหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
           "ก็ฉันไม่ได้ฉลาดเหมือนนายนี่จะได้ทำได้ทุกอย่าง! ช่วยก็ไม่คิดจะช่วยยังจะมาซ้ำเติมกันอีก!!" คำกล่าวของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มให้ผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของเจ้าชายน้ำแข็งเมื่อเขานึกอะไรดีๆออก ขายาวค่อยๆก้าวเข้าไปหาสาวน้อยที่นอนแผ่อยู่บนเตียงทำให้สาวน้อยที่เริ่มรับรู้ถึงอันตรายรีบหดขาหนีแต่ก็ไม่ทันเมื่อมือแกร่งคว้าข้อเท้าของเธอไว้ก่อนจะดึงให้สาวน้อยเข้ามาอยู่ภายใต้ร่าง
            "นายจะทำบ้าอะไรเนี่ยคาโล!!"
            "ก็ช่วยทำการบ้านไง"กล่าวหน้าตายแล้วก้มลงซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่นในทันที มือไม้ก็อยู่ไม่สุขลูบไล้ไปทั่วต้นขาเนียนแล้วล้วงลึกเข้าไปในกระโปรงเรื่อยๆจนเกือบจะถึงจุดอ่อนไหวอยู่แล้วเฟรินจึงรีบดันตัวคาโลออกแล้วโวยวายทันที
            "จะบ้ารึไง นี่มันคนละการบ้านแล้ว!! พอเลยยยยยย"
            "อย่าดิ้นน่า ดิ้นมากการบ้านเสร็จช้าไม่รู้ด้วยนะ" ว่าเสร็จก็ก้มลงประกบจูบบนริมฝีปากอิ่มทันทีทำให้เสียงโวยวายของเฟรินถูกกลืนหายไป มือใหญ่รวบมือเล็กที่พยายามดันตัวเขาออกให้ขึ้นไปอยู่เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างก็ทำหน้าที่ประสานกับริมฝีปากได้เป็นอย่างดีจนน่าใจหาย เฟรินคิดว่าคงไม่รอดแน่ๆแต่แล้วก็เหมือนมีเสียงระฆังช่วยชีวิตเมื่อมีเสียงเปิดประตูผลัวะเข้ามาพอดีทำให้คาโลต้องหยุดชะงัก
             "เห้ยคาโล โรเวนเรียกแกน่ะ........"คิลที่ไม่ทันได้ดูตาม้าตาเรือตะโกนเรียกคาโลก่อนจะต้องอึ้งไปเมื่อพบว่าตัวเองเข้ามาขัดจังหวะสำคัญเข้าให้อีกแล้ว เฟรินรีบคว้าโอกาสที่ทุกคนกำลังเผลอผลักคาโลออกจากตัวแล้ววิ่งปรู๊ดมาหาคิลทันที
             "คิลแกมาพอดีเลย! ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแกอยู่พอดี" กล่าวจบก็รีบลากเพื่อนรักออกไปจากห้องทันทีทิ้งให้คาโลที่ยังคงค้างคาอยู่ในห้องคนเดียว


             หลังจากหนีออกมาจากห้องได้เฟรินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
            "ฟุ่วววววว ดีนะที่แกมาทันพอดีไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ"ว่างพลางตบบ่าเพื่อนซี๊ปุๆเรียกให้คิลต้องอมยิ้มขำๆกับท่าทีของเพื่อน
            "แล้วแกหนีออกมาแบบนี้คาโลมันไม่โกรธแย่หรอ?"
            "ไม่หรอกมั้ง....."ตอบออกไปก่อนทั้งๆที่ความจริงก็เริ่มไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่


            เฟรินนั่งรอคาโลอยู่ที่ห้องนั่งเล่นรวมจนดึกดื่นแต่คาโลก็ยังไม่กลับมาซักที เธอรอแล้วรอเล่าจนรู้สึกง่วงขึ้นมาจึงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายคาโลที่เพิ่งเลิกประชุมเสร็จเดินกลับเข้ามาเห็นเฟรินนอนอยู่ก็ต้องแปลกใจแต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงออกมานั่งรอเขาแน่ๆจึงคลี่ยิ้มออกมาบางๆแล้วเดินเข้าไปหาสาวน้อยกะว่าจะแกล้งเล่นซักหน่อย
           เฟรินรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างหนักๆทับตัวอยู่อีกทั้งยังรู้สึกจักจี้แถวๆคอด้วยจึงค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อพบว่ามีคนกำลังซุกไซร้ซอกคออยู่และเพราะตอนนี้ดึกมากแล้วห้องนั่งเล่นรวมจึงมืดไปหมดทำให้มองไม่เห็นว่าเป็นใครจึงร้องโวยวายออกมา
         "ชุ่วววววววววว เงียบๆสิ เดี๋ยวคนทั้งป้อมก็ได้ตื่นขึ้นมากันพอดี!" เสียงที่ดังขึ้นทำให้เฟรินจำได้ว่าที่แท้คนที่อยู่บนร่างเธอก็คือคาโลนั่นเอง
         "ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย นี่มันห้องนั่งเล่นรวมนะ!
         "ก็คนมันคิดถึงหนิ อีกอย่างเมื่อตอนเย็นที่เธอทิ้งฉันไปกับคิลฉันก็ยังไม่ได้สะสางเลยนะ" แกล้งเอ่ยเสียงดุแล้วก้มลงประทับจูบไปทั่วใบหน้าหวานแต่เพราะเกรงว่าจะมีคนมาเห็นเข้าเฟรินจึงรีบดันหน้าของคาโลออก  
         "หยุดเลยนะนายจะหื่นไปถึงไหนเนี่ยยยยย"
         "หื่นงั้นหรอ?" เสียงเรียบนิ่งที่ดังขึ้นทำให้เฟรินใจแป้วหน่อยๆแต่ก็ยังคงทำใจดีสู้เสือ
         "ก็มันจริงนี่ นายคอยแต่จะเอาเปรียบฉันตลอดเวลาเลย เอะอะก็จับเอะอะก็จูบ"
         "เธอคงจะรังเกียจมันมากสินะ" เสียงเย็นๆทำให้สาวน้อยใจ ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม คาโลกำลังโกรธเธอแล้วแน่ๆ 
         "ไม่ใช่อย่างนั้นนะ....."
         "ไม่ใช่แล้วอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเอาแต่ปฏิเสธฉันตลอด ฉันก็แค่อยากจะกอดอยากจะจูบคนที่ฉันรักก็แค่นั้นเอง ก็ได้ ถ้าเธอรังเกียจกันมากนัก ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งกับเธออีก" เสียงเย็นเยียบกล่าวจบอย่างไร้เยื่อใยแล้วก้าวไวๆไปทางห้องของตนทันที
         "เดี๋ยวสิคาโล!"เฟรินรีบร้องห้ามแล้ววิ่งตามคาโลไปแต่ก็ไม่ทันเมื่อร่างสูงปิดประตูใส่หน้าเธอไปเสียแล้ว เฟรินได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะเคาะประตูแล้วเรียกให้ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่นี่มันก็ดึกมากแล้วขืนทำอย่างนั้นมีหวังได้โดนเพื่อนๆออกมาด่าแน่ๆจึงทำได้แค่เดินคอตกกลับห้องไปแล้วหวังว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสให้ได้ง้อ

            แต่ดูเหมือนโอกาสที่รอจะหายากเสียเหลือเกินเพราะงานนิทรรศการเปิดโรงเรียนพระราชาที่ใกล้เข้ามาทำให้ทุกคนยุ่งวุ่นวายไปหมดโดยเฉพาะคาโลที่ต้องรับผิดชอบซุ้มของปีสามทำให้เฟรินไม่ได้เจอหน้าคาโลเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตอนนี้เฟรินก็เลยต้องมานั่งห่อเหี่ยวอยู่ในห้องของคาโลกับคิลเพื่อรอให้คาโลกลับมาที่ห้องจะได้หาโอกาสคุยได้แต่รอแล้วรอเล่าคาโลก็ยังไม่โผล่มาซักที
            "เห้ออออออออออ" เสียงถอนหายใจยาวของเพื่อนทำให้คิลต้องหันมาสนใจ
            "นี่แกยังไม่คืนดีกะคาโลอีกหรอ?"
            "คืนดีกับผีน่ะสิ แค่หน้าฉันยังไม่ได้เห็นเลย ไอ้น้ำแข็งงี่เง่านั่นเอาแต่หลบหน้าฉันตลอด" เอ่ยอย่างท้อแท้แล้วถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ทำให้คนเป็นเพื่อนอดที่จะเห็นใจไม่ได้
            "พรุ่งนี้แกก็ไปที่ซุ้มปีสามสิ ยังไงแกก็ต้องได้เจอมันแน่ๆเพราะคาโลต้องคุมซุ้มอยู่ที่นั่น" คำกล่าวของเพื่อนเรียกกำลังใจให้เพิ่มขึ้นมาได้หน่อยเฟรินจึงลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวจะออกจากห้อง
            "นั่นแกจะไปไหน"
            "กลับห้องสิ ดึกป่านนี้ยังไม่กลับมาคงจะประชุมจนถึงเช้าละมั้งสู้ฉันกลับไปนอนเอาแรงเตรียมตัวเตรียมใจไว้รับมือกับวันพรุ่งนี้ดีกว่า" กล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปทันทีทิ้งให้คิลมองตามด้วยความงงงวยในอารมณ์ของเพื่อนที่ดูจะเปลี่ยนแปลงไวซะเหลือเกิน

           วันนี้เป็นวันงานนิทรรศการเปิดโรงเรียนพระราชาให้นักเรียนจากต่างโรงเรียนได้เข้ามาเยี่ยมชม เด็กนักเรียนมากหน้าหลายตาจึงแห่กันเข้ามาในเอดินเบิร์กที่ไม่ได้หาโอกาสเข้ามากันได้ง่ายๆ นักเรียนแต่ละชั้นปีของแต่ละปราสาทต่างก็มีซุ้มเป็นของตัวเองโดยแต่ละซุ้มก็จะมีกิจกรรมต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ซุ้มให้ความรู้ทางวิชาการของปราการปราชญ์ ซุ้มจัดแสดงของมีค่าของพระราชาจากปราสาทขุนนาง ซุ้มของกินของแผ่นดินประชาชน และสุดท้ายจะขาดไปไม่ได้เป็นอันขาดนั่นก็คือซุ้มแห่งความสนุกสนานและเกมการละเล่นจากป้อมอัศวิน(ที่ไม่ได้มีส่วนไหนของซุ้มเกี่ยวข้องกับป้อมเลยแม้แต่น้อย)
          เฟรินเดินชมงานไปเรื่อยๆจนมาถึงซุ้มเป้าหมายนั่นก็คือซุ้มของป้อมอัศวินปีสามที่มีเจ้าชายคาโล วาเนบลี ออฟคาโนวาลเป็นผู้คุมซุ้ม ร่างสูงยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กๆมากมายที่รายล้อมกำลังอธิบายกติกาการเล่นเกมด้วยเสียงนุ่มๆน่าฟัง
          "เอาล่ะ เกมนี้มีชื่อว่าเกมพระราชานะ กติกาก็คือคนที่เป็นพระราชาคือคนที่หมุนขวด หากปากขวดไปหยุดชี้อยู่ที่ใครคนๆนั้นต้องทำตามที่พระราชาสั่งทุกอย่าง หากไม่ทำจะต้องถูกลงโทษ และคนที่โดนชี้ก็จะได้เป็นพระราชาคนต่อไป ในรอบแรกฉันจะให้ตัวแทนจากป้อมอัศวินมาสาธิตให้ดูก่อนนะ" กล่าวจบก็ผายมือไปทาง คิล โร เรนอนและแองเจลิน่าที่ยืนอยู่ข้างหลัง
          "ฉันเล่นด้วยคนสิ! ตาแรกฉันขอเป็นพระราชาเอง" เสียงใสๆที่ดังขึ้นดึงความสนใจของทุกคนไปในทันที คาโลขมวดคิ้มมุ่นเมื่อเห็นว่าคนที่พูดแทรกขึ้นมาคือแม่หัวขโมยตัวแสบของเขานั่นเอง เมื่อเห็นว่าคาโลไม่พูดอะไรเฟรินจึงเข้าไปนั่งร่วมวงกับเพื่อนๆอีกสี่คนแล้วเริ่มหมุนขวดทันที
            ขวดหมุนติ้วๆอยู่ห้าหกรอบก่อนจะค่อยๆหมุนช้าลงแล้วหยุดลงที่คิลพอดี เจ้าคนอาสาเป็นพระราชายิ้มกริ่มเพราะนี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจ ขนาดทอยลูกเต๋าสี่ลูกให้เรียงกันเป็นตั้งเดียวยังทำได้ แค่หมุนขวดให้ชี้ไปทางคนที่ต้องการไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัวขโมยแห่งบารามอสคนนี้อยู่แล้ว
          "อืมมมม คิล ฟีลมัส ข้า เดอะคิงออฟเอดินเบิร์กขอสั่งให้เจ้าไปบอกรักคนที่ชอบแล้วขอเป็นแฟน ณ บัดนี้!!" คำสั่งของไอ้คนที่อุปโลกตัวเองขึ้นมาเป็นคิงเรียกให้เพื่อนซี้ต้องเบิกตากว้างแต่แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวดีมันขยิบตามาให้ยิบๆแล้วบุ้ยใบ้ปากไปทางเรนอนเป็นเชิงกระตุ้น คิลจึงลุกขึ้นไปหยิบดอกกุหลาบที่จัดไว้ประดับซุ้มขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วเดินตรงเข้าไปหาเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลแล้วค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าหญิงคนงามก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น
           "ดอกกุหลาบดอกเดียว หมายถึง เธอจะเป็นหนึ่งเดียวของฉันเท่านั้น ฉันสัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อเธอแต่เพียงผู้เดียว เรนอน ธีนอต เดอะปรินเซสออฟคาโนวาล เธอจะรับรักจากฉัน คีล ฟีลมัสคนนี้ได้หรือไม่" นัยน์ตาสีม่วงฉายความจริงใจอย่างเห็นได้ชัดมองจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของหญิงสาว มือใหญ่ยื่นดอกกุหลาบไปข้างหน้าอย่างหวังจะให้เจ้าหญิงคนสวยรับไว้แทนใจตน เรนอนรู้สึกเขินเป็นอย่างมากจึงได้แต่ยืนยิ้มหน้าแดงไม่ยอมรับดอกไม้เสียที เฟรินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยกระตุ้น
           "อ้าว จะรับหรือไม่รับก็บอกออกมาซักทีเถอะคุณเรนอน ไอ้คิลมันเกร็งจนฉี่จะแตกอยู่แล้วนั่นเห็นมั้ย" คำกล่าวหยอกล้อของเฟรินเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนรอบข้างให้ดังขึ้น เรนอนก็หัวเราะตามไปด้วยและในที่สุดก็ตัดสินใจยื่นมือเรียวออกมารับดอกกุหลาบเอาไว้
           "ตกลงค่ะ ฉันจะรับรักคุณคิล" สิ้นคำตอบรับของเรนอนคิลก็ลุกขึ้นมาคว้าตัวร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดแล้วเหวี่ยงเป็นวงกลมไปรอบๆเรียกเสียงปรบมือจากคนดูและเสียงโห่ร้องจากเพื่อนๆชาวป้อมอัศวินให้ดังขึ้น เฟรินก็เป็นหนึ่งในคนที่ปรบมือและโห่ร้องจนสุดเสียง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหลังไวๆของคนที่ต้องการจะง้อเดินออกจากซุ้มไปทำให้เธอต้องรีบวิ่งตามไปทันที
           "เดี๋ยวสิคาโล นายจะไปไหนน่ะ" มือเรียวคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้ทำให้คาโลต้องหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นเยียบ
           "ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอเธอ"
           "นายจะหนีหน้าฉันไปอีกนานแค่ไหนกัน"
           "มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ ไม่มีฉันจะได้ไม่มีคนมาคอยกวนใจยุ่มย่ามกับเธออีกไง" 
           "ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะ ฉันขอโท....." ยังไม่ทันจะพูดจบคำดีคาโลก็สะบัดมือเธอออกแล้วเดินจากไปทันทีทิ้งให้เฟรินต้องมองตามอย่างเศร้าสร้อย 

            เฟรินกลับมารอคาโลที่ห้องเพราะไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วอีกทั้งไม่รู้จะทำยังไงคาโลจึงจะหายโกรธจึงได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้งอย่างเหนื่อยอ่อน เสียงประตูที่เปิดออกทำให้เฟรินต้องรีบหันหน้าไปมองด้วยความดีใจเพราะคิดว่าเป็นคาโลแต่แล้วก็กลับเป็นคิล ฟีลมัสเพื่อนซี้นักฆ่าที่เดินยิ้มระรื่นเข้ามาทำให้เฟรินต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก
           "ยิ้มระรื่นมะเชียวนะแก อิจฉาคนมีความรักชะมัด" เฟรินว่าประชดเพื่อนตัวดีที่เพิ่งจะสละโสดมาหยกๆอย่างหมั่นไส้เรียกให้เพื่อนรักต้องเลิกคิ้วขึ้น
           "พูดอย่างกับแกไม่มีความรักงั้นแหละ"
           "รักคุดน่ะสิไม่ว่า แค่หน้าฉันมันยังไม่อยากจะมองเลย"
           "คาโลยังโกรธแกอยู่อีกหรอ?"
           "ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่รู้จะง้อยังไงดีแล้วเนี่ย โอ๊ยยยยยยย" ว่าพลางก็ทึ้งหัวตัวเองแล้วล้มตัวลงไปนอนกลิ้งบนเตียงของคนขี้งอนเรียกให้เพื่อนรักอดที่จะสงสารปนสมเพชไม่ได้ พลันสายตาก็ไปปะทะกับคทาที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือเข้าทำให้คิดอะไรดีๆออก
           "ฉันรู้แล้ว เรื่องนี้น่ะมันต้องมีที่ปรึกษา"
           "ที่ปรึกษางั้นหรอ?"
           "ใช่แล้ว ที่ปรึกษาที่มากด้วยประสบการณ์ที่จะให้คำแนะนำดีๆกับแกได้"ว่าพลางก็เดินไปหยิบคทาสีดำสนิทที่มีหัวลูกแก้วเป็นสีขาวขึ้นมา นิ้วเรียวดึงผ้าที่ปิดลายบนคทาเอาไว้ออก ทันใดนั้นร่างสีขาวมุกโปร่งแสงก็พุ่งออกมาจากคทาทันที ผีพี่สาวในคทาจ้องมองมาทางเฟรินก่อนกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหลมสูง
            "ว่าไงคะนายหญิง ไปทำอิท่าไหนอีกล่ะถึงทำให้นายท่านโกรธเข้าได้"
            "เพราะไม่ยอมให้ทำซักท่าต่างหากถึงได้งอนตุ๊บป่องๆอยู่นี่ พี่สาวพอจะมีวิธีง้อผู้ชายบ้างไหม" 
            "ผู้ชายเขารักเรางอนยังไงก็หายโกรธได้ไม่ยากหรอก แค่ต้องรู้ว่าเขาต้องการอะไรแล้วก็ ให้ ในสิ่งที่เขาต้องการก็เท่านั้น" คำแนะนำของผีพี่สาวทำให้สาวน้อยหน้าขึ้นสีทันที ก็ไอ้สิ่งที่คาโลต้องการจะคืออะไรล่ะถ้าไม่ใช่........
             "แล้ว.....ฉันจะให้ในสิ่งที่คาโลต้องการได้ยังล่ะ ในเมื่อหน้าฉันมันยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ"
             "เข้าไปตรงๆไม่ได้ก็ต้องหาวิธีทำให้เปิดใจก่อน นายท่านน่ะต้องการนายหญิงอยู่แล้วแค่ตอนนี้ยังไม่ยอมเปิดใจก็เท่านั้นเอง"
              "ทำให้เปิดใจอย่างนั้นหรอ?" เฟรินถามด้วยความงุนงง แล้วไอ้ทำให้เปิดใจมันต้องทำยังไงกันล่ะ แล้วทำไมยัยผีพี่สาวในคทาต้องยิ้มด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นด้วย เห็นแล้วใจคอไม่ค่อยจะดียังไงก็ไม่รู้..........
   


              เฟรินยืนหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่งที่ค่อนข้างลับตาคน วันนี้คาโลมีเข้าเวรรักษาความปลอดภัยกะดึกกะแรก แล้วนี่ก็ถึงเวลาเปลี่ยนกะแล้วเฟรินจึงมาดักรอพบเขาที่นี่เพราะยังไงคาโลก็ต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อจะกลับป้อมอัศวิน ร่างบางหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อทำใจกับสิ่งที่กำลังจะต้องทำ ทำอะไรน่ะหรอ? ก็ทำตามคำแนะนำของยัยผีสาวจอมจุ้นน่ะสิ
              "นายหญิงต้อง ยั่ว ให้นายท่านหลงก่อนค่ะ"
              "ยั่วหรอ!?"
              "ใช่ค่ะ การยั่วยวนจะทำให้นายท่านชะงักได้และไม่ปฏิเสธนายหญิง หลังจากนั้นเมื่อนายท่านเริ่มเปิดใจแล้วก็แสดงให้เขาเห็นว่าท่านไม่ได้รังเกียจเขาอย่างที่เขาเข้าใจ
               และเพราะไอ้คำแนะนำทำให้เปิดใจบ้าๆนั่นเธอถึงต้องมายืนดักรอคาโลอยู่นี่ ใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่ต้องทำ เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะต้องมา ยั่วยวน ผู้ชายแบบนี้มาก่อน รู้ถึงไหนขายหน้าเค้าไปถึงนั่น
               เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้เฟรินใจเต้นแรงยิ่งกว่าเก่า เธอค่อยๆชะโงกหน้าไปดูก่อนจะพบว่าคนที่เดินมาคือคาโลจริงๆเสียด้วย ร่างเล็กรีบกลับเข้ามาหลบอยู่หลังเสาตามเดิมก่อนจะหายใจเข้าออกลึกๆ นับตามจังหวะก้าวเดินของคาโลในใจก่อนจะพุ่งตัวออกไปคว้าตัวของคาโลเอาไว้แล้วดันแผ่นหลังกว้างเข้ากับเสา
               นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์ขึ้นชั่วขณะก่อนจะอ่อนแสงลงเมื่อรับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เฟรินหอบหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้นก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นพร่า
              "คาโล นายกำลังเข้าใจฉันผิด ฉันไม่เคยรังเกียจนายเลยนะ"
               ดวงตาสีฟ้ายังคงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ดวงหน้าคมเบือนหนีไปอีกทางอย่างไม่ต้องการจะพูดด้วยเรียกให้สาวน้อยต้องเบือนใบหน้านั้นให้กลับมามองตน
              "ให้ฉันพิสูจน์ให้นายเห็นนะ"กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วค่อยๆประทับจูบลงบนริมฝีปากหยัก ลิ้นเล็กพยายามๆไล้เลียเข้าไปในโพรงปากอุ่นอย่างเงอะงะทำให้คาโลอดที่จะเอ็นดูไม่ได้จึงตอบรับสัมผัสเบาๆ เฟรินรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อคาโลไม่ปฏิเสธจูบมือเล็กจึงค่อยๆลูบไล้ไปทั่วแผงอกแกร่งแล้วลูบไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงขอบกางเกงตัวสวย มือเรียวค่อยๆปลดตะขอออกก่อนจะล้วงเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ข้างในที่เริ่มตื่นตัวหน่อยๆ มือเรียวค่อยๆชักขึ้นลงเป็นจังหวะเนิบนาบทำให้คาโลส่งเสียงครางอยู่ในคออย่างพึงพอใจ
               "อืมมมมมมมม" เฟรินผละจูบก่อนจะค่อยๆก้มลงคุกเข่าให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับสะโพกของร่างสูง มือเล็กยังคงปรนเปรอให้กับร่างสูงอย่างต่อเนื่อง สาวน้อยช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าราวรูปสลักที่บัดนี้ปิดความพอใจเอาไว้ไม่มิดแล้วค่อยๆแตะปลายลิ้นเข้ากับส่วนหัวก่อนจะไล้วนอยู่อย่างนั้น ลิ้นเล็กโลมเลียไปเรื่อยๆตั้งแต่ส่วนหัวไปจนจรดความยาวความแก่นกายใหญ่ก่อนจะไล้วนย้อนกลับมาที่ส่วนหัวอีกครั้ง ปากเล็กค่อยๆอ้าออกกว้างแล้วดูดกลืนแก่นกายเข้าไปให้ลึกที่สุดจนคับปากแต่ด้วยขนาดที่ใหญ่มากทำให้สาวน้อยดูดกลืนไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เฟรินเริ่มขยับศีรษะเข้าออกอย่างเนิบช้าพร้อมๆกับมือเรียวที่คอยชักนำส่วนที่เหลือไปด้วย ลิ้นเล็กโลมเลียพร้อมๆกับริมฝีปากที่ดูดดุนท่อนเนื้อร้อนราวกับของอร่อยจนคาโลต้องครางซี๊ดด้วยความเสียว มือแกร่งจับที่กลุ่มผมสีน้ำตาลของสาวน้อยเพื่อช่วยให้เธอดูดกลืนตัวตนของเขาได้ลึกยิ่งขึ้น ปากเล็กขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วจนคาโลรู้สึกว่าใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มทีแล้วจึงจับไหล่บางให้หยุดชะงักเพราะเขายังไม่อยากให้มันจบลงง่ายๆ มือแกร่งดึงตัวของสาวน้อยให้ยืนขึ้นแล้วดันแผ่นหลังบางเข้ากับเสาบ้าง ปากหยักชิงจูบลงมาอย่างรวดเร็วและเร่าร้อนตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง มือแกร่งคว้าขาทั้งสองข้างของสาวน้อยขึ้นให้เกี่ยวเอวตนไว้ทำให้เฟรินตัองรีบกอดคอร่างสูงไว้เพื่อกันตก ร่างสูงสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในตัวของร่างบางจนสุดในคราเดียวโดยไม่มีการเบิกทางก่อนทำให้เฟรินต้องเผลอร้องออกมา
                 "อื้ออออออออออออ" ชายหนุ่มเริ่มขยับสะโพกทันทีที่รู้สึกว่าหญิงสาวปรับตัวได้แล้ว แรงกระแทกทำให้สะโพกของเธอกระเด้งขึ้นก่อนจะกดทับลงมาตามแรงโน้มถ่วงทำให้แก่นกายสอดเข้าไปได้ลึกมากขึ้นทุกครั้ง เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นตามใบหน้าสวยแล้วไหลลงไปบนแขนแกร่งแต่ก็ไม่มีใครสนใจจะเช็ดมันออกเพราะต่างคนต่างกำลังตกอยู่ในห้วงลึกแห่งความสุขสม สะโพกแกร่งขยับถี่เร็วขึ้นเรื่อยๆจนเฟรินรู้สึกเหมือนจะไปอยู่รอมมะร่อจึงต้องจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายอารมณ์
               "อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อื้มมมมมมม คาโล ฉันจะไม่ไหวละ..."เสียงครางของเฟรินขาดหายไปเพราะมือใหญ่ที่ถูกนำมาปิดปากเธอไว้ คาโลชะงักการกระทำทุกอย่างไว้ชั่วคราวแล้วกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ
               "ชู่วววววว เงียบๆไว้ มีคนกำลังเดินมาทางนี้" คำพูดของคาโลทำให้หญิงสาวต้องเบิกตากว้างก่อนจะรีบชะโงกหน้าไปดูก็พบว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้จริงๆ โร เซวาเรสกับครี้ดธันเดอร์กำลังเดินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพราะกำลังจะไปเข้าเวรต่อ
               เฟรินต้องตกใจเมื่อจู่ๆคาโลก็เริ่มขยับสะโพกอีกครั้ง มือใหญ่ยังคงปิดปากของเธอไว้เพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกมาแต่ช่วงล่างกลับขยับถี่รัวจนเฟรินแทบทนไม่ไหว ขืนคาโลยังทำแบบนี้ต่อเธอต้องเผลอหลุดเสียงครางออกไปแน่ มือเรียวกอดคอของร่างสูงเอาไว้แน่นก่อนจะซบหน้าลงไปกับไหล่กว้างเมื่อรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว คาโลกระแทกเข้ามาไม่ยั้งก่อนจะปลดปล่อยเข้าไปในตัวหญิงสาวจนหมดทำให้เฟรินเผลอหลุดเสียงครางออกมาอย่างช่วยไม่ได้แล้วก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อเสียงฝีเท้าหยุดกึกตรงหน้าเสาที่เธอกับเฟรินหลบอยู่พอดี
              "นายได้ยินเสียงอะไรมั้ยครี้ด" โร เซวาเรสถามขึ้น
              "ไม่หนิ นายได้ยินเสียงอะไรหรอ?"ครี้ด ธันเดอร์ถามแล้วทำท่าจะชะโงกเข้ามาดูข้างหลังเสาแต่ดีที่โรขัดขึ้นเสียก่อน
              "คงไม่มีอะไรหรอก ฉันอาจจะหูฝาดไปเองหรือไม่ก็อาจจะเป็นแมวซักตัว เรารีบไปกันเถอะ" กล่าวจบก็ก้าวเดินต่อทำให้ครี้ดต้องหันกลับไปแล้วรีบเดินตามไปทันที
              เฟรินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะค่อยๆลงมายืนขาสั่นๆบนพื้น
              "เห้อออออออ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ นายน่ะเล่นบ้าอะไรทำไมไม่ยอมหยุดห้ะ!"
              "ก็ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่ ใครใช้ให้เธอมายั่วฉันก่อนเองล่ะ" คำกล่าวของคาโลเรียกให้แก้มขาวขึ้นสีระเรื่อ ก็จริงอย่างที่มันพูด เธอเป็นคนยั่วเขาก่อนเองจริงๆ
              "ถ้าอย่างนั้น นายหายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย" กล่าวด้วยเสียงมีความหวังแล้วจ้องดวงหน้ารูปสลักของเจ้าชายน้ำแข็งอย่างอ้อนๆทำให้คาโลรู้สึกหมั่นเขี้ยวจนอยากแกล้งขึ้นมา
              "ไม่รู้สิ น่าจะหายแล้วแหละมั้งแต่ยังไม่หายสนิทเท่าไหร่ สงสัยคงต้องพิสูจน์ต่ออีกหน่อยว่าเธอไม่รังเกียจฉันจริงรึเปล่า" กล่าวจบก็ก้มลงจุมพิตที่ปากสวย มือใหญ่บีบขยำก้นงอนอย่างเอาแต่ใจแล้วค่อยๆพลิกให้ร่างบางหันหน้าเข้าหากำแพง
             "อีกซักสองสามรอบน่าจะพอ"กระซิบที่ข้างใบหูด้วยเสียงแหบพร่าก่อนจะขบเบาๆที่ติ่งหูสวยให้สาวน้อยเสียวเล่นๆ เพลงรักบรรเลงขึ้นอีกครั้งในที่ลับแห่งนี้ท่ามกลางดวงจันทร์และดวงดาวที่เป็นพยานว่าเฟริน เดอเบอโรว์ มิได้รังเกียจสัมผัสของคาโล วาเนบลีแต่อย่างใด..........

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอส ตอนพิเศษ 4 หัวขโมยขี้หึง [NC 18+]

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A

   เกวียนเทียมม้าคันใหญ่ที่กำลังแล่นไปบนทางที่ทอดนำสู่เมืองเอดินเบิร์กอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงของเด็กหนุ่ม(และอีกหนึ่งสาว)ชาวป้อมอัศวินที่ในปีการศึกษาหน้าก็จะขึ้นปีสามกันแล้ว คณะเดินทางนี้ประกอบไปด้วยบุคคลที่ไม่ได้กลับบ้านหลังจากเข้าร่วมพิธีสถาปนาจักรพรรดิที่เวนอลแต่เดินทางกลับมาเรียนที่โรงเรียนพระราชาต่อเลย ประกอบไปด้วย ครี้ด ธันเดอร์ ซีบิล สเวน กัส โทนียา สามในสิบสองผู้พิทักษ์ป้อม โร เซวาเรส(ผู้ที่ยืนยันจะให้เพื่อนๆเรียกตนด้วยชื่อเดิมถึงแม้ตอนนี้จะเปลี่ยนสถานะจากเดอะเบกการ์ออฟทริสทอร์เป็นเดอะคิงออฟเวนอลแล้วก็ตาม) หนึ่งในสี่ผู้คุมกฏแห่งป้อมอัศวิน คิล ฟีลมัส เดอะคิลเลอร์ออฟซาเรส คาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟคาโนวาล และท้ายที่สุดก็คือหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในคณะเดินทาง เฟริน เดอเบอโรว์ (ผู้ที่ยังยืนยันจะใช้ชื่อต่อท้ายเดอะทีฟออฟบารามอสอยู่)
              เกวียนเล่มใหญ่ต้องถูกจอดเอาไว้ด้านนอกประตูเมืองเพราะตัวเมืองเอดินเบิร์กคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่มาจับจ่ายใช้สอยของใช้ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ของโรงเรียนพระราชาดังเช่นทุกปี ร้านรวงข้างทางที่มีพ่อค้าแม่ขายคอยเชิญชวนให้ลูกค้าเดินเข้าร้านยังคงเรียกความสนใจจากเฟรินได้เช่นเคย เหล่าพลพรรคชาวป้อมอัศวินตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันไปซื้อของใช้ที่ต้องการแล้วค่อยมารวมตัวกันอีกทีตอนเที่ยงวัน เฟริน คิล และคาโลจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปซื้อตำราเรียนปีสามที่ในปีนี้เฟรินดีใจมากที่ไม่ต้องซื้อตำราเก่าอีกต่อไปแล้วเพราะทางบารามอสมีเงินเบี้ยเลี้ยงจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าหญิง นอกจากนี้เจ้ากวางโคมุสก็ยังมอบเงินส่วนหนึ่งให้เฟรินมาอีกด้วย เห็นบอกว่าให้เอาไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น ละถ้ามันไม่จำเป็นคราวนี้แล้วจะไปจำเป็นคราวไหนกัน เธอจะได้ใช้ของใหม่ๆกับเขาบ้างก็คราวนี้ อย่างน้อยๆไอ้กระเป๋าเงินพระราชานั่นก็ควรจะมีเงินติดกระเป๋ามากกว่านี้หน่อย
              "นี่ ฉันว่าจะไปซื้อชุดนักเรียนใหม่ซักหน่อย ชุดเก่ามันคับไปแล้ว พวกแกจะไปด้วยมั้ย" คิล ฟีลมัสเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสามคนซื้อตำราเรียนครบหมดแล้วเรียกให้เจ้าหัวขโมยตัวดีต้องรีบตอบรับอย่างกระตือรือร้น
              "ไปๆๆๆ ฉันอยากได้ชุดใหม่อยู่เหมือนกันพอดี จะได้เลิกใส่ไอ้ชุดปุๆปะๆเก่าซอมซ่อนั่นซักที" กล่าวจบก็เดินนำไปยังร้านขายชุดนักเรียนทันทีโดยไม่รอใครทำให้เพื่อนสองคนต้องหันมามองหน้ากันอย่างคลางแคลงใจว่าไอ้ที่ว่าอยากได้ชุดใหม่มันใช่อย่างที่คิดรึเปล่า
              ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านชุดนักเรียนสำหรับโรงเรียนพระราชาคิลและคาโลก็ต้องกลั้นขำเพราะสีหน้าลำบากใจของพนักงานขายที่ไม่รู้จะบอกเจ้าคนลืมตัวยังไงว่าชุดที่หยิบมาน่ะมันไม่เหมาะสมกับตนเองในตอนนี้เสียแล้ว
               "ชุดนี้ไม่ใช่ชุดนักเรียนของโรงเรียนพระราชาหรอ ทำไมฉันถึงจะใส่ไม่ได้ล่ะ" เฟรินที่ยังคงไม่เข้าใจเอ่ยถามพนักงานอีกครั้ง
               "ชุดของโรงเรียนพระราชาน่ะใช่ แต่มันไม่ใช่ชุดสำหรับ ผู้หญิง" เสียงเรียบของคาโลที่กล่าวเน้นย้คำว่าผู้หญิงทำให้เจ้าคนลืมตัวสำนึกได้ว่าในตอนนี้ตนเองไม่ใช่ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว เฟรินค่อยๆลดมือที่ถือชุดนักเรียนผู้ชายไว้ลงก่อนจะส่งกลับไปให้พนักงานขายสาวสวยแล้วยิ้มแหยๆให้ 
               "นี่ค่ะ ชุดนักเรียนสำหรับผู้หญิง ลองสวมดูก่อนนะคะว่าพอดีรึเปล่า" พนักงานสาวสวยยื่นเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เฟรินที่ยืนทำหน้าลำบากใจจ้องมองชุดราวกับมันเป็นสิ่งน่าสะพรึงขวัญยังไงยังงั้น
               "เอ้า รีบๆรับไปซะสิ ยืนมองอยู่ได้ ชุดมันจะใส่ให้แกเองรึไง!" เสียงของคิล ฟีลมัสที่ดังขึ้นเรียกให้เฟรินต้องแยกเขี้ยววับไปให้แล้วรับชุดมาถือไว้ในมือก่อนจะเดินเข้าห้องลองชุดไป
               ในขณะที่เฟรินกำลังลองชุดคิลก็ขอให้พนักงานช่วยวัดตัวและหาชุดใหม่ให้จึงเหลือเพียงคาโลคนเดียวที่ยืนรออยู่ข้างนอก ประตูห้องลองเสื้อค่อยๆเปิดแง้มออกมาตามมาด้วยใบหน้าของเจ้าหัวขโมยที่โผล่ออกมาแค่ส่วนหัว
                "เอ่อ......ฉันว่าไอ้ชุดนี่มันแปลกๆนะ ใส่แล้วอึดอัดชะมัด รู้สึกไม่คล่องตัวเลย เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดผู้ชายเหมือนเดิมไม่ได้หรอ"
                 "ไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงแล้วก็ต้องใส่ชุดนักเรียนหญิงสิ รีบๆออกมาได้แล้วจะได้รู้ว่าต้องแก้ชุดตรงไหนรึเปล่า" เสียงดุๆของเจ้าชายคาโลทำให้เจ้าหัวขโมยทำหน้าจ๋อยแล้วค่อยๆเปิดประตูให้กว้างขึ้นก่อนจะก้าวออกมาให้เห็นเต็มๆตา สาวน้อยร่างบางในชุดกระโปรงพลีทสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย เสื้อสีม่วงอันเป็นสีประจำโรงเรียนขับผิวขาวๆให้ดูผ่องยิ่งขึ้นไปอีก คาโลตกอยู่ในภวังค์จากภาพสาวน้อยตรงหน้าไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติแล้วรีบกระแอมขึ้นแก้เก้อก่อนจะกลับไปปั้นสีหน้าเรียบนิ่งเป็นน้ำแข็งเหมือนเคย
                  "นายว่าฉันใส่แล้วเป็นยังไงบ้าง"
                  "ก็ยังเป็นเฟริน เดอเบอโรว์คนเดิม ไม่เห็นจะต่างไปจากเดิมตรงไหน" คำตอบเรียบๆจากเจ้าชายคนสำคัญเล่นเอาเฟรินที่แอบหวังไว้นิดหน่อยว่าจะได้รับคำชมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตงิดๆ
                 "ก็ถ้ามันไม่ต่างกันขนาดนั้นก็ใส่ชุดเดิมมันไปซะเลย ไม่ต้องซ้งต้องซื้อมันแล้ว" ว่าพลางก็เริ่มดึงเสื้อคลุมออกจากตัวทำให้คาโลต้องรีบห้ามเอาไว้แล้วตะโกนบอกพนักงานขายให้หยิบชุดนักเรียนหญิงมาให้สามชุดแล้วจ่ายเงินให้ด้วยตัวเอง
                 "ถึงใส่แล้วมันจะไม่ต่างกันแต่อย่างน้อยเป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งตัวให้มันเหมือนผู้หญิง คนเขาจะได้ไม่คิดว่าฉันวิปริศผิดเพศ" พูดจบก็ยัดถุงผ้าไปไว้ในมือของเฟรินแล้วเดินออกจากร้านไปทิ้งให้เฟรินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเมื่อเข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการจะสื่อทำเอาคิลที่เพิ่งซื้อชุดเสร็จต้องเดินมาดีดหน้าผากเรียกสติ ไอ้เพื่อนคนนี้นี่ตั้งแต่มันเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงก็ชักจะทำท่าทำทางแปลกๆขึ้นทุกวันเดี๋ยวก็ยิ้มเดี๋ยวก็โมโหจนเขาตามอารมณ์แทบไม่ทัน


                 เฟรินและคิลตามมาสมทบกับเพื่อนๆที่ร้านขายของเบ็ดเตล็ดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าเพื่อนๆกำลังรวมกลุ่มอยู่อีกด้านปล่อยให้คาโลยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เฟรินเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆและพบว่าที่แท้หญิงผู้นั้นก็คือเอฟีน่า กรีซโดริซ นางพญาแห่งเอเธนส์ประจำป้อมขุนนางนั่นเอง
                "ดีใจจังที่ได้พบท่านข้างนอกโรงเรียนบ้างปรินซ์คาโล" นางพญาแห่งเอเธนส์กล่าวด้วยรอยยิ้มหวานหวังชนะใจคนมองแต่คาโลก็ทำเพียงยิ้มบางๆตอบกลับไปเท่านั้น
                "ครั้งนี้ท่านไม่ได้มากับพี่น้องชาวคาโนวาลด้วยกันหรอกหรือ"
                "เปล่า ครั้งนี้ข้ามากับเพื่อนๆในป้อมอัศวิน"คาโลกล่าวแล้วผายมือมาทางที่พวกเฟรินยืนอยู่ทำให้เจ้าหญิงเอฟีน่าต้องมองตาม นางไล่สายตามองชาวป้อมอัศวินทีละคนไปเรื่อยๆจนสุดท้ายมาหยุดสายตาอยู่ที่เฟริน เดอเบอโรว์ หัวขโมยคู่ปรับตั้งแต่ครั้งหมากกระดานเกียรติยศตอนปีหนึ่ง รอยยิ้มเหยียดยกประดับขึ้นที่มุมปากเรียกให้คนมองตากระตุก เฟรินสัมผัสชัดได้ถึงการดูถูกในสายงตาของนางพญาแห่งเอเธนที่ส่งมาให้เธอชั่วครู่ก่อนสายตานั้นจะหันกลับไปหาเจ้าชายแห่งคาโนวาลคนเดิม
              "อ้อ พวกท่านคงจะเพิ่งกลับจากงานสถาปนาจักรพรรดิใหม่แห่งเวนอลสินะ ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานเพราะที่เอเธนก็กำลังวุ่นวายอยู่ไม่น้อย" กล่าวเสียงหวานดูเสแสร้งพร้อมหันไปทางโรที่พยักหน้ารับน้อยๆเป็นการรับรู้
             "ถ้าอย่างนั้นเจอกันที่โรงเรียนแล้วกัน หวังว่าปีนี้เราจะได้ร่วมงานกันอีกนะปรินซ์คาโล" ปิดท้ายก็ยิ้มหวานให้คาโลแล้วเดินจากไปทิ้งความไม่พอใจลึกๆให้กับเฟริน ไม่รู้ทำไมแต่เธอรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลยที่มีหญิงอื่นมายิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้เจ้าชายน้ำแข็งของเธอ
           "แหม เจ้าชายคาโลของเรานี่เสน่ห์แรงซะจริง มีแต่เจ้าหญิงมารุมล้อมตกหลุมเสน่ห์" เสียงแซวของครี้ด ธันเดอร์ยิ่งทำให้ใบหน้าของหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มที่บูดอยู่แล้วยิ่งงอง้ำหนักเข้าไปอีก
           "พวกแกจะซื้ออะไรอีกรึเปล่า ถ้าไม่ซื้อจะได้กลับโรงเรียนกันซะที เสียเวลามามากแล้ว" พูดอย่างกระแทกกระทั้นแล้วมองด้วยหางตาไปทางเจ้าชายแห่งคาโนวาลต้นเหตุแห่งความหงุดหงิดก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากร้านไปทันทีทิ้งให้เพื่อนๆมองหน้ากันยิ้มๆ 
          "เห้ออออ เห็นทีคราวนี้คนเสน่ห์แรงคงต้องหัดง้อสาวซะแล้ว อย่าลืมที่ฉันเคยสอนล่ะ สองสูตรลัดมัดใจหญิง หนึ่งกอดถ้ายังดื้อไม่ยอมฟังก็จับจูบมันซะเลย!" ครี้ด ธันเดอร์เอ่ยขึ้นแล้วเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเจ้าชายน้ำแข็งที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมานิดๆทำให้เพื่อนๆต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วเดินตามเจ้าหัวขโมยขี้งอนออกจากร้านไป


            มิซแรมเซิลอาจารย์ประจำป้อมอัศวินกำลังอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหอใหม่ของนักเรียนปีสาม
            "เอาล่ะจ่ะ สุดท้ายนี้ ห้องของหัวหน้าชั้นปีก็ยังคงเป็นของคาโล วาเนบลีกับคิล ฟีลมัสเหมือนเดิมนะจ๊ะ ส่วนเฟริน เดอเบอโรว์ต้องย้ายไปอยู่กับเรนอนนะ"
           "อ้าว ทำไมล่ะครั..เอ้ย คะ อยู่ห้องเดิมกับคาโลกับคิลก็ดีอยู่แล้วนี่" เสียงโวยวายของเจ้าคนโดนย้ายห้องดังขึ้นทำให้แองเจลีน่าทนไม่ไหวต้องส่งคฑาคู่ใจไปเขกโป๊กเข้าให้ที่หัวของเจ้าตัวดี
           "ดีกับผีน่ะสิ ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงแล้วนะ จะไปนอนห้องเดียวกับผู้ชายได้ยังไง"
           "ใช่จ่ะเฟริน ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงแล้วต้องย้ายไปนอนกับผู้หญิงด้วยกันนะจ๊ะ ส่วนมาธิลดากับแองเจลีน่าก็อยู่ห้องเดียวกันเหมือนเดิม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้วล่ะจ่ะ"กล่าวจบมิซแรมเซิลก็เดินจากไป แต่เจ้าหัวขโมยจอมยุ่งก็ยังไม่วายบ่นกระปอดกระแปด
            "โอยยยย ให้นอนห้องเดียวกับผู้หญิงฉันจะไปหลับลงได้ยังไง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว" 
             "ขนลุกอะไรของแก แกกับเรนอนก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่ นอนด้วยกันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ดีซะอีก" คำพูดของคิล ฟีลมัสเพื่อนซี๊ทำเอาเจ้าคนที่กำลังหงุดหงิดพาลประชดไปเรื่อย
             "ถ้ามันดีนักแกก็มานอนแทนฉันซะเลยสิ!" คำพูดไม่คิดของเจ้าหัวขโมยตัวดีแต่กลับทำให้เจ้าเพื่อนซี๊ทายาทนักฆ่าแห่งซาเรสคิดไปไกลจนโหนกแก้มขึ้นสีระเรื่อจนเฟรินสังเกตได้
              "เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ไอ้ที่เขินจนแก้มแดงนี่แสดงว่าแกต้องคิดอะไรทะลึ่งๆอยู่แน่ๆเลยใช่มะบอกมาซะดีๆ ไม่ได้การละ ถ้าแกจะชอบเรนอนขนาดนี้แกต้องเริ่มเดินหน้าจีบได้แล้วนะเว้ย มัวแต่ช้าโดนหมาคาบไปกินไม่รู้ด้วยนะ เอางี้ เดี๋ยวฉันจะช่วยแกเอง วางใจ....."พูดยังไม่ทันจบเจ้าคนหวังดีก็เดินเพื่อนผลักเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูปังใส่หน้าทันที แต่แทนที่จะโกรธเจ้าตัวดีกลับขำไม่หยุดจนต้องล้มตัวลงมานั่งกุมท้องกับพื้น
             "คุณเฟรินขำอะไรขนาดนั้นคะเนี่ย"เจ้าหญิงเรนอนคนงามถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ยังคนหัวเราะไม่หยุดซักที
              "ก็ขำคนขี้เขินน่ะสิ ป่านนี้มันคงนั่งคิดถึงแต่เรนอนจนนอนไม่หลับ ฮ่าๆๆๆๆๆ"
               "เอ๋ คิดถึงฉันหรือคะ แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย"
               "เกี่ยวสิ ก็เรนอนเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉันหนิ แล้วเชื่อเถอะว่าสำหรับไอ้คิลน่ะคุณเรนอนมาเกี่ยวด้วยได้เสมอแหละ" คำพูดกำกวมของเฟรินทำให้เรนอนทั้งรู้สึกสับสนและเขินไปพร้อมๆกัน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่มันก็ทำให้รู้สึกร้อนที่หน้าได้ไม่น้อย



              "โอ๊ยยยยยยย เบื่อโว้ยยยยยยยยยยย" เจ้าหญิงแห่งเดมอสตะโกนออกมาอย่างไม่สมหญิงจนดังลั่นไปทั่วห้องนั่งเล่นรวมของป้อมอัศวินหลังจากถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่สิบ
               "มัวแต่นั่งถอนหายใจทิ้งอยู่นี่มันจะหายเบื่อมั้ย ใจอยู่ที่ใครก็ไปหาคนนั้นซะสิ" เสียงเรียบๆจากโร เซวาเรสดังขึ้นยิ่งทำให้เจ้าหล่อนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
               "ก็ถ้ามันว่างให้ไปหาก็อยากไปอยู่หรอก แต่นี่มันไม่เห็นจะเคยว่างเลยซักวัน! วันๆเอาแต่ประชุมๆๆ ทำงานๆๆอยู่นั่นแหละ!!" ใช่ ตั้งแต่เปิดเทอมมา เจ้าชายคาโลในฐานะหัวหน้าชั้นปีที่สามก็มีงานยุ่งตลอดเพราะวิชาใหม่หลายวิชาที่ต้องทำงานร่วมกับปราสาทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราสาทขุนนางที่ดูจะได้จับคู่กันบ่อยเหลือเกิน ทำให้เฟรินที่ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้วแทบจะไม่ได้เจอกับคาโลเลยถ้าไม่ใช่ในชั่วโมงเรียนจึงทำให้เจ้าหัวขโมยตัวดีต้องมานั่งถอนหายใจทิ้งและได้แต่บ่นว่าเบื่ออยู่นี่
               "ปกติไม่เห็นแกจะเคยสนใจว่ามันว่างไม่ว่างก็หาเรื่องไปกวนประสาทมันได้ทุกที จะมาเกรงอกเกรงใจอะไรตอนนี้ ถ้าคิดถึงก็ไปหาเถอะ ฉันขี้เกียจมานั่งฟังเสียงถอนหายใจแกแล้ว" คิล ฟีลมัสเพื่อนรักเพื่อนซี๊แนะนำออกมาด้วยความรำคาญเต็มทน
               "ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าที่ไปหามันนี่ก็เพราะกลัวมันจะทำงานจนเบื่อตายไปซะก่อน ไม่ใช่เพราะคิดถงคิดถึงอะไรทั้งสิ้น" กล่าวไว้เชิงให้ตัวเองเสร็จก็ลุกออกไปทันทีทิ้งให้เพื่อนๆต้องมองตามด้วยความเอือมระอาในความปากแข็งของเจ้าหัวขโมยตัวแสบ


            หลังเดินออกจากป้อมอัศวินเฟรินก็ตรงไปยังห้องสมุดทันทีเพราะมันเป็นที่ๆคาโลมักจะไปขลุกอยู่ตลอดเวลาจนแทบจะกินนอนอยู่ในนั้นอยู่แล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุดก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยยืนหันหน้าเข้าชั้นหนังสือและกำลังหาหนังสืออยู่ เฟรินจึงค่อยๆย่องเข้าไปกะจะแกล้งให้มันตกใจเล่นซักหน่อยแต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงตัวคาโลร่างของนางพญาแห่งปราการขุนนางก็โผล่ขึ้นมาเสียก่อนทำให้เฟรินต้องหยุดชะงัก 
          เจ้าหญิงแห่งเอเธนส์พูดอะไรบางอย่างกับคาโลแล้วจู่โจมด้วยการจูบทันที ภาพที่เห็นทำให้เฟรินรู้สึกปวดหน่วงที่หน้าอก ความโกรธมันพุ่งขึ้นสูงจนทำให้น้ำตาคลอ รู้สึกอยากจะเข้าไปกระชากทั้งคู่ออกจากกันแล้วรัวหมัดใส่ไอ้ก้อนน้ำแข็งนั่นรัวๆแต่ก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นก่อนจะรีบหันหลังกลับเตรียมวิ่งออกไปแต่ด้วยไม่ทันได้ระวังจึงทำให้เดินไปชนกับเด็กปีหนึ่งที่หอบหนังสือตั้งสูงท่วมหัวเดินผ่านมาพอดีทำให้เด็กคนนั้นล้มลงไปนั่งแหมะกับพื้นมีหนังสือกระจัดกระจายอยู่รอบตัว เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้คาโลได้สติก่อนจะรีบดันเอฟีน่าออกจากตัวแล้วหันไปมองยังที่มาขอเสียง แต่แล้วคาโลก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของเฟรินกำลังวิ่งออกไปจากห้องสมุด
           

          เฟรินรีบวิ่งออกมาจากห้องสมุดโดยไม่ได้สนใจเลยว่าจะวิ่งไปชนใครบ้าง น้ำตาที่เคยคลอหน่วยบัดนี้กลับรินไหลราวทำนบแตก ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันน่าอายขนาดไหนก็ไม่สามารถบังคับให้มันหยุดไหลได้จึงทำได้เพียงเอามือบังหน้าแล้วรีบวิ่งกลับหอพักให้เร็วที่สุด จู่ๆข้อมือบางของเธอก็โดนรั้งไว้ด้วยมือหนาของใครคนหนึ่งทำให้ต้องหันไปมองอย่างไม่มีทางเลือกแต่ก็ต้องรีบหันกลับมาอย่างไวเมื่อพบว่าคนที่รั้งเธอเอาไว้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องร้องไห้กลางที่สาธารณะแบบนี้นี่เอง
           "เธอร้องไห้หรอ?" ภาพของหญิงสาวคนรักที่กำลังร้องไห้ทำให้คาโลรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
           "ฉันจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง!!" เอ่ยตอบเสียงดังแล้วรีบสะบัดข้อมืออกจากการกอบกุมของมือแกร่งแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคาโลกลับยิ่งกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น
           "เดี๋ยวสิ เธอกำลังเข้าใจผิดนะ ฟังฉันอธิบายก่อน" เสียงร้อนรนที่พยายามจะเอ่ยคำอธิบายของคาโลไม่อาจทำให้เฟรินใจอ่อนได้เมื่อภาพที่เห็นในห้องสมุดยังคงตราตรึงอยู่ในมโนภาพ
            "ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น นายะไปทำอะไรกับใครที่ไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!!!!"กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือตัดพ้อแล้วก้มลมกัดมือของคาโลจนเลือดซิบทำให้คาโลต้องรีบปล่อยมือทันที เผลอแวบเดียวเฟรินก็วิ่งหนีไปไกลเสียแล้ว คาโลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เข้าใจผิดไปใหญ่โตขนาดนี้งานนี้คงจะง้อไม่ได้ง่ายๆแน่ๆ


           ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเฟรินคอยหลบหน้าคาโลตลอด ถ้ามีเหตุให้จำเป็นต้องเจอก็จะไม่พูดด้วย เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ให้คิลนั่งคั่นระหว่างตนกับคาโลและหากมีเรื่องจำเป็นต้องพูดกับคาโลก็จะให้บอกฝากผ่านคิลไปอีกที สถานการณ์แบบนี้ทำให้คนกลางอย่างคิลรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถามอะไรเฟรินไปมันก็ไม่ยอมตอบ แค่เอ่ยชื่อคาโลขึ้นมาก็โดนมันเหวี่ยงใส่ซะจนเกือบเอาตัวไม่รอด ครั้นพอไปถามคาโลว่าไปทำอะไรให้แม่ตัวดีโกรธมันก็ไม่ยอมบอกอีก เห้อออ และอีแบบนี้เมื่อไหร่มันจะปรับความเข้าใจกันได้ซักที คนที่ถนัดแต่หาเรื่องสนุกไปวันๆพอมาเจอเรื่องแบบนี้ก็ทำเอาไปไม่เป็นจึงพยายามหาตัวช่วย แล้วคนที่ดูจะให้คำปรึกษาได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเจ้าหญิงเรนอน เพื่อนร่วมห้องของเจ้าหัวขโมยตัวปัญหานั่น คิลเดินเข้าไปหาเจ้าหญิงคนสวยแห่งคาโนวาลที่กำลังคุยอยู่กับมาธิลดาและแองเจลีน่าก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
         "เอ่อ.....เรนอน ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ" คำขอของคิลทำให้เรนอนแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ยังตอบรับแล้วเดินตามออกมายังสวนดอกไม้ข้างหลังป้อมอัศวิน
         "คุณคิลมีอะไรจะคุยกับฉันหรือคะ"
         "เรื่องเฟรินน่ะสิ ตอนนี้มันกำลังโกรธคาโลอยู่แล้วก็ไม่ยอมพูดด้วยเลย ลำบากฉันต้องคอยเป็นล่ามให้แต่เป็นแบบนี้มันก็ทำให้ฉันไม่สบายใจเลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากเรนอน ถ้าเธอร่วมมือด้วยเราต้องทำให้สองคนนั่นกลับมาคืนดีกันได้แน่ๆ"
          "อย่างนี้นี่เอง ไม่น่าล่ะหมู่นี้คุณเฟรินดูไม่ค่อยร่าเริงเลย แถมบางครั้งยังดูเหม่อๆอีกด้วย วางใจเถอะค่ะ ฉันจะช่วยคุณคิลเอง เราจะต้องร่วมมือกันทำให้สองคนนั่นกลับมาคืนดีกันให้ได้" ไม่พูดเปล่าเจ้าหญิงคนงามยังดึงมือของคิลไปจับเอาไว้แล้วบีบเบาๆเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นมันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแค่ไหน ถ้าเรนอนขยับเข้ามาใกล้กว่านี้อีกนิดต้องได้ยินเสียงโครมๆของหัวใจเขาที่กำลังเต้นอยู่แน่ๆ

          คิลและเรนอนตกลงกันว่าจะให้เรนอนเป็นคนเข้าไปพูดกับเฟรินเพื่อ(หลอก)ให้ยอมไปพบกับคาโลเพราะถ้าขืนให้คิลเป็นคนเข้าไปพูดเองให้ตายยังไงเฟรินก็ไม่มีทางหลงกลแน่เพราะมันคงรู้ว่าเขาต้องพยายามช่วยคาโล
          เรนอนเปิดประตูเข้าไปในห้องพักก็พบกับเฟรินที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง สายตาที่จ้องหนังสือนั้นไม่ได้ขยับเปลี่ยนที่เลยแม้แต่น้อยราวกับคนกำลังเหม่ออยู่ เรนอนค่อยๆเดินเข้าไปหาเฟรินก่อนจะเรียกอยู่สองสามครั้งเจ้าตัวถึงจะได้สติแล้วรับรู้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า
          "ขอโทษทีพอดีฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณเรนอนมีอะไรหรอ"
          "คือว่า.....เห็นคุณคิลบอกว่ามีเรื่องจะคุยกะคุณเฟรินน่ะค่ะ ก็เลยให้ฉันมาตามคุณไปหาที่ห้อง"
          "จ้างให้ก็ไม่ไปหรอก คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าจะลากไปคุยเรื่องอะไร ฝากคุณเรนอนกลับไปบอกไอ้คิลมันหน่อยเถอะว่าฉันไม่อยากคุยด้วย"เจ้าคนหัวแข็งยังปฏิเสธหนักแน่นจนคนฟังอ่อนใจแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เรนอนรีบตีหน้าเศร้าก่อนจะแกล้งทำเสียงหงอยๆเพื่อให้เฟรินเห็นใจ
         "แต่คุณคิลบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากๆเลยนะคะถึงกับมาขอร้องฉันให้มาเกลี้ยกล่อมคุณเฟรินให้ แล้วอีกอย่างฉันก็รับปากคุณคิลไปแล้ว ถ้าเกิดคุณเฟรินไม่ยอมไปคุณคิลคงจะคิดว่าฉันเชื่อถือไม่ได้แน่ๆเลย" น้ำเสียงเศร้าๆกับสีหน้าลำบากใจของเรนอนทำให้เฟรินรู้สึกเห็นใจจนต้องยอมใจอ่อนให้จนได้
          "ก็ได้ๆ เป็นเพราะคุณเรนอนมาขอหรอกนะ ฉันจะยอมไปคุยกะไอ้คิลมันซักครั้ง" กล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้เรนอนเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิดจนต้องกระโดดเหยงๆ
          เฟรินเดินไปยังหน้าห้องพักของคิลและคาโลก่อนจะเคาะประตูสามครั้ง รอไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดผลัวะออกอย่างแรงราวกับคนในห้องกำลังรอให้มีคนมาเคาะยังไงยังงั้น
          "เรนอนบอกว่าแกอยากคุยกับฉัน มีอะไรก็รีบว่ามา" เฟรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดกับเพื่อนซี้ที่เปิดประตูรับ
          "จะรีบไปไหนนักหนา เข้ามาคุยกันดีๆข้างในก่อนเถอะน่า" คำต่อรองของคิลเรียกความหงุดหงิดให้เพิ่มขึ้นแก่หญิงสาวได้ไม่น้อยแต่ด้วยความขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงตัดปัญหาด้วยการเดินเข้าประตูที่เพื่อนรักเปิดกว้างออกให้แล้วผายมือเชื้อเชิญอยู่
           ทันทีที่เฟรินก้าวเข้ามาในห้องคิลก็รีบเดินออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูปังทันทีบวกด้วยความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากแองเจลีน่าที่ร่ายมนตร์ลงกลอนประตูทำให้ไม่สามารถเปิดจากด้านในได้ แค่นี้เจ้าหัวขโมยจอมดื้อก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าชายน้ำแข็งเรียบร้อย ตอนนี้จะง้อสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าชายคนเก่งแล้วล่ะ 
           เสียงปิดประตูปังตามหลังทำให้เฟรินต้องหันกลับไปมองทันทีแต่สิ่งที่เห็นก็ทำให้รู้ได้ว่าตัวเองโดนไอ้เจ้าเพื่อนรักหักหลังเสียแล้ว เฟรินรีบวิ่งกลับไปที่ประตูแล้วพยายามปลดล็อกออก แต่ทำยังไงประตูก็ไม่ยอมเปิดจึงได้แต่ทุบประตูปังๆแล้วโวยวายให้เจ้าเพื่อนตัวดีมันกลับมาเปิดประตูให้
          "ไอ้คิล!! เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!! เปิดสิฉันบอกให้เปิดดดดด อย่าให้ฉันออกไปได้นะฉันฆ่าแกแน่ไอ้เพื่อนบ้า"
          "อย่าโกรธคิลมันเลย มันก็แค่อยากให้เราได้ปรับความเข้าใจกันก็เท่านั้นเอง" เสียงทุ้มอันคุ้นเคยของเจ้าชายคาโลที่ดังขึ้นทำให้เฟรินต้องตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที ดวงหน้าเรียวหันไปทางคาโลน้อยๆแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงห่างเหิน
          "ระหว่างเราไม่มีความจำเป็นต้องปรับความเข้าใจอะไรอีกแล้ว" พูดจบก็หันไปทุบประตูต่อ
          "ไอ้คิลฉันบอกให้เปิดประตูให้ฉันไง เปิดสิโว้ยเปิดดดด" มือเรียวที่กำลังจะทุบลงไปบนบานประตูถูกกระชากเข้าหาร่างสูงที่บัดนี้เริ่มจะเดือดขึ้นมาบ้าง สายตาดุจัดที่มองมาทำให้เฟรินต้องหลบสายตาอย่างช่วยไม่ได้
          "เธอจะไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้นจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง เฟริน เดอเบอโรว์"
          "ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ปล่อยยยยย" เฟรินผลักคาโลออกอย่างแรงแล้วเตรียมพุ่งตัวไปทางประตูอีกครั้งแต่คาโลกลับไวกว่า มือแกร่งกระชากตัวเฟรินกลับมาแล้วผลักให้ร่างเล็กกระแทกลงกับโต๊ะเขียนหนังสือ ร่างใหญ่ตามมาทาบทับทันทีอย่างไม่เปิดโอกาสให้แม่ตัวดีหนีไปไหนรอดอีก อาการต่อต้านที่รุนแรงของเฟรินเรียกให้ความอดทนของคาโลขาดสะบั้นลงทันที
           "ถ้าพูดกันดีๆไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด!"กล่าวจบก็ก้มลงบดจูบกับริมฝีปากอวบอิ่มทันที เฟรินพยายามต่อต้านโดยการเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้คาโลรุกล้ำได้แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเมื่อคาโลกัดที่ริมฝีปากของเธออย่างแรงจนร่างบางเผลอเผยอปากออก ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอย่างจาบจ้วง ความถวิลหาบวกกับความโกรธทำให้ร่างสูงรุนแรงกว่าที่คิด ร่างสูงจูบอย่างดูดดื่มราวจะสูบวิญญาสาวน้อยออกจากร่าง คาโลสัมผัสได้ถึงความแฉะจากหยดน้ำที่หยดลงบนใบหน้าจึงค่อยๆผละจูบออกมาแล้วก็ได้เห็นว่าใบหน้าของหญิงสาวที่ตนรักเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่รินไหลลงมาไม่ขาดสาย ภาพที่เห็นทำให้คาโลรู้สึกใจแกว่งอย่างบอกไม่ถูก เฟรินสะอื้นฮักจนตัวโยนก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
          "จูบนี่ นายคงมอบให้กับเจ้าหญิงแห่งเอเธนส์เหมือนกันสินะ แล้วนายรุนแรงกับเขาแบบนี้ด้วยรึเปล่าล่ะ อ้อ ลืมไป คงจะไม่สินะ เพราะผู้หญิงสูงศักดิ์แบบนั้นก็คงจะเหมาะกับจูบหวานๆ แต่สำหรับผู้หญิงกะโปโลแบบฉันความอ่อนโยนคงไม่จำเป็น" เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเอง
           "เฟริน เธอกำลังเข้าใจผิดนะ เธอต้องฟังฉัน" เสียงนุ่มละมุนที่พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ทำให้ทิฐิใจใจของเฟรินลดต่ำลงได้เพราะเธอปักใจเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นในวันนั้นไปเสียแล้ว
           "หึ นายจะปฏิเสธว่าไม่ได้จูบกับยัยนั่นงั้นสิ นายกำลังจะบอกว่าฉันตาฝาดไปเองรึไง"
           "ฉันยอมรับว่าวันนั้นฉันจูบกับเอฟีน่าจริง" คำสารภาพตามตรงของคาโลกลับยิ่งทำให้เฟรินโกรธยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหวานเบือนหนีไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะมองหน้าคนที่ทำให้เธอเสียใจแต่คาโลกลับค่อยๆเชยคางมนให้เบือนกลับมามองหน้าเขาตรงๆ นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอย่างหวังจะให้เจ้าของดวงตาสัมผัสถึงความจริงใจในดวงตาของเขา
           "ฉันจูบกับเอฟีน่าจริงแต่ไม่ได้จูบเพราะอยากจูบ เอฟีน่าเข้ามาจูบฉันเอง ถ้าเธอลองสังเกตซักนิดก็น่าจะเห็นว่าฉันไม่ได้เป็นคนเริ่ม" คำอธิบายของคาโลทำให้เฟรินเริ่มลังเลแต่ก็ยังไม่ปักเชื่อจึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ก่อน
           "จูบของชาวเอเธนส์คือการพิสูจน์ความรู้สึก เอฟีน่าต้องการจะพิสูจน์ว่าเขาชอบฉันหรือดาร์ค เกลเลอร์กันแน่ แล้วผลสรุปก็คือเขาไม่ได้ชอบฉัน"
           "ดาร์ค เกลเลอร์?
           "ใช่แล้ว ดาร์ค เกลเลอร์ เดอะเกรทวอริเออร์ออฟคาโนวาลคนที่นายเคยใช้เป็นที่พิงแขนตอนพยายามจะจีบเอฟีน่าไง" คำอธิบายของคาโลเรียกให้เฟรินนึกขึ้นได้ถึงบุรุษร่างสูงใหญ่ท่าทางกักขฬะที่ทำท่าหวงเจ้าหญิงแห่งเอเธนส์เสียยิ่งกว่าอะไรดี
           "แล้วทำไมนายจะต้องยอมให้ยัยนั่นจูบด้วย ไหนบอกว่าจูบสำหรับชาวคาโนวาลนี่สำคัญนักหนาไง!" เจ้าหัวขโมยจอมดื้อยังคงไม่ยอมลดละถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกโล่งราวกับได้ยกภูเขาออกจากอกก็ตาม
           "ฉันไม่ได้ยอม แต่แค่ตั้งตัวไม่ทัน พอตั้งสติได้ก็เห็นใครไม่รู้วิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งออกไปแล้ว" คำพูดล้อเลียนของเจ้าชายตัวดีเล่นเอาสาวน้อยหน้าแดงด้วยความอับอาย
           "ก็ใครบอกให้นายไปพิสูจน์ความรู้สึกบ้าบอกับยัยนั่นกันเล่า" ว่าแก้เขินเพลิงเอามือทุบไปที่อกแกร่งเบาๆเรียกรอยยิ้มหายากให้ปรากฏขึ้นบนเรียวปากของเจ้าชายน้ำแข็ง
            "หายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย"
            "ใครบอกว่าหาย ไอ้ที่นายพูดมานี่จะเชื่อถือได้รึเปล่าก็ไม่รู้" คนปากหนักยังคงทำเป็นใจแข็งทั้งๆที่ในใจยกโทษให้ไปเรียบร้อยแล้ว
             "แล้วจะให้ทำยังไงเธอถึงจะยอมเชื่อล่ะ"คาโลก้มลงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู ลมหายใจหนักๆที่เป่ารดต้นคอทำให้เฟรินขนลุกซู่
             "ไม่รู้แล้วววว ตอนนี้ฉันง่วง ฉันจะกลับไปนอนแล้วปล่อยฉันซักที!" คนที่รับรู้ได้ถึงอันตรายรีบทำเป็นโวยวายแล้วดันหน้าอกแกร่งให้ถอยห่างแต่ก็ไม่เกิดผลใดใดเมื่อจมูกโด่งของคาโลยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่ซอกคอขาว ปากหยักเลื่อนขึ้นไปประทับจูบหวานล้ำให้แก่สาวน้อยที่หลับตาพริ้มรับจูบแต่โดยดี
             "จุมพิตจากเจ้าชายแห่งคาโนวาลเป็นการให้สัตย์สาบานต่อความรัก และจูบนี้จากข้า เจ้าชายคาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟคาโนวาลก็มีให้เจ้า เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล เดอะปรินเซสออฟเดมอสแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น" คำกล่าวหวานซึ้งเรียกเลือดให้ขึ้นซับสีระเรื่อที่แก้มของสาวน้อยได้เป็นอย่างดี ภาพสาวน้อยที่กำลังเขินอายเรียกความปราถนาในใจของเจ้าชายน้ำแข็งให้โหมโชนขึ้น
            "เฟริน ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน"เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหูทำให้สาวน้อยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คาโลใช้โอกาสที่ร่างบางกำลังเผลอปลดกระดุมเสื้อนักเรียนตัวบางออกอย่างรวดเร็ว จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนปากหยักจะฝังรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ มือใหญ่บีบคลึงปทุมถันแล้วเขี่ยปลายยอดให้สาวน้อยรู้สึกเสียวเล่นๆก่อนจะไล้ลงมาเรื่อยๆจนถึงขอบกระโปรงพลีทสั้นก่อนจะถอนจูบออกมา
            "จริงๆแล้วฉันชอบตอนเธอใส่กระโปรงตัวนี้มากเลยนะ แต่คิดดูอีกที ฉันชอบตอนที่เธอไม่ใส่อะไรเลยมากกว่า" คำพูดลุ่นๆเรียกเลือดให้สูบฉีดไปยังพวงแก้มของสาวน้อยได้ดียิ่งนัก เพราะมัวแต่เขินอายรู้ตัวอีกทีกระโปรงพลีทตัวสวยก็ถูกถอดโยนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มือใหญ่ยกขาเรียวขึ้นให้ยันอยู่บนโต๊ะก่อนจะค่อยๆก้มลงไปชิมความหวานจากสาวน้อย ลิ้นร้อนที่แทรกลึกเข้ามาทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียวจนต้องขยุ้มกลุ่มผมสีเงินของคาโลเพื่อหาที่ระบาย ร่างสูงดูดชิมน้ำหวานจากหญิงสาวจนอิ่มหนำแล้วจึงค่อยๆถอนลิ้นออกมาก่อนจะแทนที่ด้วยแท่งร้อนที่เตรียมพร้อมไว้รออยู่แล้ว มือใหญ่จับขาเรียวให้กระชับก่อนจะดันแก่นกายเข้าไปจนสุดในคราเดียว ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งที่สามแล้วแต่เฟรินก็ยังไม่ชินสักที แก่นกายใหญ่โตที่ดันเข้ามาอย่างกระทันหันทำให้เธอรู้สึกจุกจนน้ำตาเล็ด
           "อื้ออออออ คาโล ฉะ ฉันจุก......" คาโลก้มลงจูบซับน้ำตาก่อนจะเริ่มขยับสะโพกช้าๆทำให้เฟรินต้องเอามือยันตัวเองไว้บนโต๊ะเพื่อตั้งหลัก ร่างสูงขยับด้วยจังหวะเนิบช้าจนรู้สึกได้ว่าร่างบางเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแล้วจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้น ปาดหยักดูดเม้มยอดปทุมถันทั้งสองข้างสลับไปมาเพื่อไม่ให้น้อยหน้ากันสร้างความรัญจวนใจแก่หญิงสาวได้ดียิ่งนัก ความเสียวกระสันที่ได้รับส่งผลให้ส่วนล่างตอดรัดแก่นกายของร่างสูงอย่างรุนแรงจนร่างสูงต้องตอบสนองด้วยการหยัดสะโพกเข้าหาเร็วและแรงยิ่งขึ้น ร่างบางผวาเฮือกเข้ากอดคอร่างสูงไว้แน่นแล้วครางออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อสัมผัสได้ถึงสวรรค์รำไร
           "อ๊ะ อ๊ะ คะ คาโล ฉัน มะ ไม่ไหวแล้ว" พูดยังไม่ทันขาดคำดีร่างสูงก็โหมสะโพกกระหน่ำเข้าหาแล้วปลดปล่อยเข้าไปในตัวร่างบางจนหมดพร้อมๆกับที่ร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อถึงฝั่งฝัน 
           คาโลอุ้มเฟรินขึ้นจากโต๊ะในท่าที่ช่วงล่างยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ทำให้ร่างบางต้องรีบกอดคอและเกี่ยวขาเข้ากับสะโพกสอบของร่างสูงไว้แน่นเพราะกลัวตกแต่การกระทำนั้นกลับทำช่วงล่างของทั้งคู่แนบแน่นกันยิ่งกว่าเดิม คาโลอุ้มสาวน้อยเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำที่ในอ่างอาบน้ำมีน้ำรองไว้ก่อนแล้วก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวสาวน้อยลงในอ่างอาบน้ำแล้วตามเข้าไปนั่งซ้อนข้างหลังของร่างบางอีกที
         มือใหญ่ค่อยๆยกสะโพกอิ่มขึ้นให้นั่งทับตัวตนของตนที่เริ่มแข็งขืนอีกครั้งเพราะการเสียดสีจากตอนที่เดินมา เฟรินเบ้หน้าเล็กน้อยเพราะพอร่างสูงดันแก่นกายเข้ามาน้ำก็เข้ามาด้วยทำให้รู้สึกเสียวซ่านแปลกๆ มือใหญ่กดสะโพกอิ่มลงจนสุดก่อนจะแช่ค้างไว้อย่างนั้น
        "ฉันเหนื่อยแล้ว ทำให้ฉันบ้างสิ" เสียงกระซิบที่ข้างหูทำเอาสาวน้อยเขินจนหูแดง ใครมันจะไปกล้าทำเรื่องน่าอายแบบนั้นกัน
        "จะบ้าหรอ ไม่เอาหรอก ถ้าเหนื่อยนักก็ไปนอนซะไปฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน"กล่าวจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นแต่เอวบางก็โดนอ้อมกอดของร่างใหญ่ที่ทาบทับอยู่ข้างหลังรั้งเอาไว้ซะก่อน
        "ใจร้ายจัง ฉันไม่ได้กอดเธอมาตั้งนานแล้วนะ รู้มั้ยว่าฉันต้องทนคิดถึงเธอขนาดไหน ไม่สงสารฉันบ้างหรอ" เสียงทุ้มนุ่มชวนให้เคลิบเคลิ้มทำให้เฟรินใจอ่อนยวบก่อนจะอ้อมแอ้มถามด้วยความกระดากอาย
        "แล้วจะให้ทำยังไงเล่า ก็ฉันทำไม่เป็นนี่"
        "ไม่เป็นไร ของแบบนี้สอนกันได้" กล่าวจบก็ค่อยๆยกสะโพกอิ่มขึ้นให้ขยับตามมือใหญ่ เฟรินค่อยๆขยับสะโพกตามที่ร่างสูงนำจนน้ำเริ่มกระเพื่อมออกจากอ่าง
        "อื้มมมม อย่างนั้นแหละเฟริน ดีมาก เร็วกว่านี้อีก" ถึงแม้จะยังมีความกระดากอายอยู่บ้างแต่ความรู้สึกดีมันมีมากกว่าเรียกให้ร่างบางต้องขยับสะโพกเร็วขึ้นตามที่อีกคนต้องการ
        "อ๊ะ โอ๊ย คาโล มัน อึ้ก แรงไปแล้ว อ๊าาาาาาา" เฟรินครางออกมาไม่ได้ศัพท์ทันทีเมื่อจู่ๆมือหนาก็จับสะโพกมนให้ยกค้างไว้ก่อนจะรัวสะโพกเข้าหาไม่ยั้งจนน้ำกระฉอกออกจากอ่างเกือบหมด คาโลโหมกระแทกเข้าหาร่างบางอย่างรัวเร็วจนเสร็จสมเป็นรอบที่สอง เฟรินที่แทบจะหมดแรงนอนแผ่ลงไปกับอ่างหอบใจถี่ราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา ถ้าไม่ติดว่ามีแขนแกร่งโอบเอวเอาไว้อยู่เธอคงได้หน้าคว่ำลงไปดำน้ำแล้ว 
         หลังจากทำความสะอาดร่างกายให้ร่างบางจนเสร็จสรรพคาโลก็อุ้มเฟรินไปที่เตียงแล้วค่อยๆวางลงอย่างเบามือ ร่างหนาที่ตามมาทาบทับทำให้เฟรินที่เกือบจะหลับไปอยู่แล้วต้องปรือตาขึ้นมามอง
         "อีกรอบนะ ฉันยังไม่หายคิดถึงเลย" เสียงกระซิบจากริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่บริเวณเนินอกทำให้เฟรินต้องขมวดคิ้วมุ่น มือเล็กพยายามดันร่างหนาออกจากตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง
         "ไม่เอาาาา พอแล้วววว ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ยยย"
         "ขอแค่รอบเดียว นะนะนะะะะะ" เจ้าชายน้ำแข็งในโหมดออดอ้อนที่ไม่เคยมีใครได้เห็นเล่นเอาหัวขโมยคนเก่งตั้งตัวไม่ถูกจึงเผลอพยักหน้าให้แล้วก็ต้องมานึกเสียใจในภายหลังว่าไม่น่าไปตกหลุมพรางมันเลย
          เพราะคำว่ารอบสุดท้ายยังคงดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดคืน................


       ** แก้ไขสีผมคาโลแล้วนะคะ ไรต์ขอโทษจริงๆ พอดีอ้างอิง มาจาก PDF             ผมของคาโลเป็นสีทองขอบคุณที่มาเม้นเตือนกันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามด้วยค่ะ **