วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 6 : ใต้แสงจันทร์ [NC 18+]

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ Bam_Bam1A


                “ฉันรักนายนะ คาโล......”  ทันทีที่มือของเฟรินตกลงข้างตัวหัวใจของคาโลราวกับแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งใหลลงมาราวทำนบแตก คาโลร้องเรียกชื่อเฟรินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหวังว่าเธอจะกลับมา
                “เฟริน เฟริน ฟื้นขึ้นมาสิ ได้โปรด ลืมตาขึ้นมามองฉันหน่อยเถอะ เฟริน....” คาโลครวญครางราวจะขาดใจโถมตัวลงกอดร่างของเฟรินไว้แนบอก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ผู้คนที่ยืนอยู่รายล้อมต่างก็ร่ำไห้ไปตามๆกัน
                “คาโล พอเถอะ” ท่านจ้าวกล่าวขึ้นแล้ววางมือลงบนบ่าของคาโล แต่เขากลับส่ายหัวปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง คาโลก้มลงจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้ไม่มีเลือดแดงฝาดอีกต่อไปแล้ว แต่ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันก็ราวกับมีคลื่นพลังบางอย่างแผ่ออกมาทำให้เกิดลมพัดวูบใหญ่ คาโลผละออกมาก่อนจะต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างของเฟรินกำลังเปลี่ยนไป ผมสีน้ำตาลที่เคยยาวสลวยบัดนี้กลับหดสั้นลงเรื่อยๆ ส่วนเว้าส่วนโค้งที่เคยมีก็ค่อยๆหายไป ใบหน้าหวานค่อยๆเปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นแต่ยังคงเค้าเดิมอยู่ ร่องรอยฟกช้ำและบาดแผลตามตัวก็ค่อยๆหายไปราวปาฏิหาริย์ ทันใดนั้นเฟรินก็สะดุ้งเฮือกเหมือนวิญญาณกลับเข้าร่าง เธอลืมตาโพลงขึ้นทันทีทำให้คาโลดีใจจนต้องคว้าเธอเข้ามากอดไว้แน่น
                 “เฟริน เธอยังไม่ตาย!!! เธอยังไม่ตายจริงๆด้วย!!”
                 “เอ่อ...แต่ถ้านายยังกอดฉันแน่นขนาดนี้ฉันอาจจะได้ตายจริงๆก็ได้นะ” เฟรินกล่าวขำๆก่อนจะตบที่แผ่นหลังกว้างเบาๆทำให้คาโลรีบคลายอ้อมกอดออกทันที
                 “โทษที พอดีฉันดีใจไปหน่อย” เฟรินหัวเราะก่อนจะหันไปหาพ่อของเธอ ท่านจ้าวยิ้มกว้างแล้วกางแขนออกทำให้เฟรินต้องโผเข้ากอดทันที ท่านจ้าวโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนก่อนจะลูบศีรษะเธอเบาๆด้วยความรักใคร่
                “อย่าทำให้พ่อใจหายแบบนี้อีกนะ เฟลิโอน่า” เฟรินผละออกจากอ้อมกอดของพ่อก่อนจะยิ้มให้จนตาหยี
                “ต่อไปนี้ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงอีกแน่นอน ลูกสัญญา อ้อ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เรียกว่าเฟลิโอน่าคงจะไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนลูกจะกลับมาเป็นเด็กผู้ชายนามว่าเฟริน เดเบอร์โรว์อีกแล้วล่ะ” กล่าวพลางลูบไปตามเนื้อตัวของตนเองเพื่อตรวจสอบ เฟรินใช้มือคลำหน้าอกที่แบนราบของตนขึ้นๆลงๆจนคาโลทนไม่ไหวต้องบอกให้หยุดก่อนที่มันจะอุจาดตาไปมากกว่านี้
                “ใช่ ใช่ เรื่องนี้เราคงต้องไปปรึกษากับโกโดมกันว่าจะมีวิธีคืนร่างให้ลูกโดยไม่ต้องใช้จิ้งจอกเก้าหางมั้ย”
                “ไม่คืนร่างก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ฮะ เป็นผู้ชายแบบนี้ก็สบายดีจะตายไป” กล่าวจบก็หัวเราะอย่างเริงร่าก่อนจะต้องสะดุดกึกเมื่อหันไปสบนัยน์ตาดุของคาโลเข้าจึงรีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่องโดยหันไปหาคิล โร และโรเวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เฟรินรีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปกอดคอคิลกับโรทันที
                “เนื่องในโอกาสที่ฉันฟื้นคืนชีพแถมยังได้กลับมาเป็นผู้ชายอีกต่างหาก เราไปฉลองกันหน่อยเป็นไง” เฟรินกล่าวขึ้นทำให้คิล โรและโรเวนต้องหัวเราะไปตามๆกันก่อนทั้งสี่จะพากันเดินออกจากสนามประลองทิ้งให้คาโลต้องมองตามด้วยความเหนื่อยใจ
                “ทำใจหน่อยนะ ได้ข่าวว่าทำเขาไว้เยอะเหมือนกันหนิ งานนี้เฟรินต้องเอาคืนเธอแน่ๆ” ท่านจ้าวกล่าวพร้อมกับตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะหัวเราะแล้วเดินจากไป

             พระราชวังหลวงแห่งเดมอสในวันนี้เปิดให้เหล่าประชาชนจากเอเดนและเดมอสเข้ามาร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่เจ้าหญิงเฟลีโอน่า เกรดเดเวล(ถึงตอนนี้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ)ฟื้นคืนชีพ ทั่วทั้งพระราชวังอึกทึกไปด้วยเสียงเพลงและเสียงเฮฮาจากทั้งเหล่ามนุษย์ คนแคระ ยักษ์และสัตว์ประหลาดอีกมากมายที่ในเวลานี้ดูกลมกลืนกันดีราวกับเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เฟริน คิล โร และโรเวนนั่งอยู่รวมกับทุกๆคนในโต๊ะอาหารใหญ่ตัวนึงที่มีทั้งอาหารคาวหวานเลิศรศ และแน่นอน สุราชั้นดีจากคลังสุราหลวงถูกนำมาเปิดขวดแล้วขวดเล่าจากคำสั่งของเจ้าของงานเลี้ยงในวันนี้ เจ้าหญิงเฟลีโอน่าในคราบเฟริน เดอเบอร์โรว์นั่นเอง
                “พวกแกรู้มั้ย ฉันได้ข่าวจากท่านพ่อมาว่าอาเธอร์ถูกส่งไปภูเขาไฟโลกันตร์เมืองยักษ์ล่ะ แค่คิดสภาพว่าอาเธอร์ต้องทำงานหนักแลกข้าวกินฉันก็ขำจนท้องขดท้องแข็งแล้ว สะใจจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ทุกคนในโต๊ะต่างพากันหัวเราะครื้นเครงไปตามๆกัน เฟรินดื่มอีกซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเมามากแล้วจึงขอตัวไปนอนก่อน
                “ทุกคนเต็มที่กันต่อเลยนะ ฉันขอตัวไปพักหน่อยล่ะ วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ” พูดเสร็จก็ลุกขึ้นยืนโซเซจนคิลจะเข้ามาพยุงตัวแต่เฟรินกลับห้ามเขาไว้
                “ไม่ต้องๆ ตอนนี้ฉันเป็นผู้ชายแข็งแรงดีเหมือนๆกับแกนั่นแหละ ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นี้สบายม๊ากกกก เอิ้ก!” พูดจบก็ออกเดินไปทางห้องของตนเองทันที เฟรินเดินโซซัดโซเซไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงหน้าห้องของตนจนได้ เธอเปิดประตูเข้าไปพบว่าห้องทั้งห้องมืดมิดไปหมด เฟรินคลำทางไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปถึงเตียงนอนจนได้เธอทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีอย่างไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสียเวลาแต่จู่ๆไฟในห้องก็สว่างวาบขึ้น เฟรินขยี้ตาอย่างงัวเงียเพราะแสงไฟที่แยงเข้าตา
                “เฟริน ไปอาบน้ำก่อน” คาโลนั่นเองที่เป็นคนจุดไฟขึ้น เขานั่งลงบนเตียงข้างๆเธอก่อนจะพยายามรั้งแขนเธอให้ลุกขึ้นจากเตียง
                “ไม่เอาาาาาาาาาาาาา ฉันง่วงงงง จะนอนนนนนน” เฟรินงอแงก่อนจะดึงหมอนมาปิดหน้าพยายามจะนอนต่อแต่คาโลก็ไม่ยอมง่ายๆเขาพยายามดึงหมอนออกจากหน้าของเธอแล้วดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น
                “เฟริน จะลุกไปอาบเองดีๆหรือจะให้ฉันเป็นคนอาบให้” เสียงดุๆของคาโลไม่ทำให้เฟรินกลัวซักนิด ตรงกันข้ามเจ้าตัวกลับขำพรืดออกมาแทน
                “ไม่ต้องมาขู่เลย ตอนนี้มุขนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้วล่ะ เพราะฉันเป็นผู้ชาย ฉันไม่กลัวนายหรอกนะ”
                “เป็นผู้ชายแล้วยังไง ยังไงเธอก็เป็นคู่หมั้นของฉันอยู่ดี”
                “นายหมายความว่าไง.....”คำพูดของคาโลเริ่มทำให้เธอเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมา ไม่น่า คาโลคงไม่บ้าขนาดนั้น.....
                “ก็หมายความว่า ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายน่ะสิ และบางทีฉันก็อยากจะลองดูเหมือนกัน ว่าร่างไหนของเธอจะปั่นหัวฉันขึ้นมากกว่ากัน” กล่าวพลางก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆจนเธอหายใจติดขัด ริมฝีปากหยักเกือบจะประจูบลงมาอยู่แล้วถ้าไม่ติดที่ว่า.......
                “เอิ้ก! แหวะะะะะะะะะ” เฟรินสะอึกขึ้นมาก่อนจะรีบหันหน้าหนีแทบไม่ทันเมื่อรู้สึกได้ถึงของที่กินไปเมื่อเย็นที่เริ่มตีย้อนกลับขึ้นมา เธออ้วกรดที่นอนเต็มไปหมดทำเอาคาโลต้องส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะพาเธอไปล้างเนื้อล้างตัว

              แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องเพราะม่านที่ถูกเปิดขึ้นทำให้หนุ่มน้อยหน้าหวานที่นอนสลบสไลอยู่บนเตียงกว้างต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขัดใจก่อนจะยกหมอนขึ้นมาปิดหน้าไว้แล้วพยายามนอนต่อ เรียกให้โกโดม โคมุสผู้เปิดม่านต้องกระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วดึงหมอนที่ปิดหน้าเธออยู่ออก
                 “ตื่นได้แล้วพะยะค่ะเจ้าหญิง”
                 “อย่ายุ่งน่าเจ้ากวาง ฉันจะนอนนนนน” เฟรินโวยวายก่อนจะพยายามยื้อหมอนกลับคืนมาแต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของโกโดม
                  “ถ้ายังไม่ยอมตื่น กระหม่อมจะให้เจ้าชายคาโลมาปลุกแทนนะพะยะค่ะ” เพียงแค่ได้ยินชื่อคาโลก็ทำเอาเจ้าหัวขโมยตัวดีตาสว่างรีบลุกขึ้นมาทันที
                  “ตื่นแล้วน่าๆๆ มีอะไรถึงได้มาปลุกฉันแต่เช้าขนาดนี้เนี่ย”
                  “กระหม่อมหาวิธีคืนร่างให้เจ้าหญิงได้แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ให้เจ้าหญิงเตรียมตัวให้พร้อม เราจะได้เริ่มทำพิธีกันเลย”
                  “อะไรนะ!? ทำไมเร็วนักล่ะ ฉันนึกว่าจิ้งจอกเก้าหางตายไปหมดแล้วซะอีก”
                  “ใช่พะยะค่ะ จิ้งจอกเก้าหางตายไปหมดแล้ว แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลือดของมันอีกต่อไป ครั้งนี้พระองค์ต้องคำสาปด้วยจุมพิตจากเจ้าชายแห่งคาโล ดังนั้นการแก้คำสาปก็ต้องให้เจ้าชายคาโลเป็นคนทำ”
                   “ห้ะ มะ..หมายถึงจะให้คาโลจูบกับฉันในร่างผู้ชายเนี่ยนะ! ฟ้าได้ผ่าตายกันพอดี!” แค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้เธอขนลุกขึ้นมาแล้ว ถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นผู้หญิงแต่มันก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดีถ้าจะให้คาโลมาทำอะไรแบบนั้นกับตนในร่างที่เป็นผู้ชายแบบนี้
                   “ถ้าทำอย่างนั้นฟ้าคงได้ผ่าเอาจริงๆอย่างที่ท่านว่า แต่โชคดีหน่อยที่สิ่งที่เราต้องการเป็นเพียงเลือดเล็กน้อยจากเจ้าชายคาโลก็เท่านั้น” คำตอบของโกโดมทำเอาเฟรินต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แค่คิดว่ากลับมาเป็นผู้ชายได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับไปเป็นผู้หญิงแล้วทำให้เธอรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก อีกอย่าง....มันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอยังไม่อยากกลับเป็นผู้หญิง เหตุผลนั้นก็คือคาโล....
                     “แต่ว่า ฉันยังไม่อยากกลับไปเป็นผู้หญิงเลยนี่ เป็นผู้ชายสนุกกว่าตั้งเยอะ เลื่อนพิธีการไปก่อนไม่ได้หรอเจ้ากวาง นะๆๆๆๆๆ ขอร้องล่ะ นะๆๆๆๆ” กล่าวพลางเขย่าตัวโกโดมไปมาจนเขาชักจะเวียนหัวแต่ก็ต้องหยุดการกระทำลงทันทีเมื่อมีเสียงดังแทรกขึ้นจากทางประตูห้อง
                     “ไม่ได้!” คาโลนั่นเองที่ยืนปั้นหน้าดุอยู่หน้าประตูห้องของเธอ
                     “ทำไมล่ะ!”
                     “ก็เพราะเธอเป็นผู้หญิงน่ะสิ ยังไงก็ต้องกลับไปเป็นผู้หญิง”
                     “มันก็ใช่แต่ฉันแค่อยากจะขอเป็นผู้ชายนานกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงกัน”
                     “ไม่ได้” กล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพล่หลังตรงหน้าเธอแล้วค่อยๆโน้มตัวลงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ
                     “เพราะฉันคิดถึงเธอ อยากกอดเธอในร่างผู้หญิงจะแย่แล้ว” คำพูดหวานเลี่ยนทำเอาเฟรินหน้าขึ้นสีแดงจัดจนต้องแก้เขินด้วยการผลักอกเขาให้ออกห่างจากตัว
                     “หรือถ้าเธอยังอยากเป็นผู้ชายอยู่ ฉันอาจจะทนไม่ไหวเผลอทำอะไรลงไปทั้งๆที่เธอยังเป็นผู้ชายอยู่ก็ได้นะ” กล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้เธอต้องบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว
                     “อย่างนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ!!”


                 เฟรินยืนอยู่ภายในข่ายมนตร์รูปดาว มีโกโดมและคาโลยืนประจันหน้าเธออยู่ ในมือของโกโดมมีถ้วยทองใส่ของเหลวสีใสอยู่ เขายื่นถาดไปตรงหน้าคาโล คาโลยื่นมือข้างหนึ่งไปเหนือถาดก่อนจะใช้มีดกรีดลงกลางฝ่ามือของตน เลือดสีสดหยดลงบนของเหลวสีใสเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสีแดงฉานในบัดดล
                 โกโดมเริ่มร่ายเวทย์มนตร์ เสียงท้องฟ้าคำรามลั่นสนั่นหวั่นไหว ลมพายุพัดโหมกระหน่ำแล้วฝนก็เทโครมสาดเข้ามาในเขตของท้องพระโรง เสียงฟ้าฟาดเปรี้ยงดังลั่น พลันทันใดแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆถูกกลืนกินด้วยเหตุการณ์ราหูอมตะวัน
                 ท้องฟ้าค่อยพลันมืดมิดลงเรื่อยๆ ก่อนที่ความมืดมิดจะปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พลันหมอกสีดำทะมึนก็พวยพุ่ง แสงไฟในตัวอาคารดับพรึ่บ เหลือเพียงแสงจากไฟเย็นสีฟ้าที่ลุกโชน
                 เสียงสายฟ้าค่อยเบาลง เบาลง
                 จากที่ไม่มีก็กลับปรากฏ คทาสิบสองอัน
                 คทาสีทองลอยปรากฏตัวขึ้นในความมืด หมุนวนอยู่นอกตาข่ายมนตร์ ทอแสงสว่างแล้วค่อยพากันขยับไปรอบๆก่อนจะทิ้งตัวปักมั่นลงกับพื้น
                 แล้วโกโดมก็เอ่ยวาจาเป็นภาษาโคมุสร้องลั่นเป็นครั้งสุดท้าย
                 แสงสว่างพุ่งทะลักออกจากร่างของเฟริน สัมผัสความร้อนในกายที่กำลังจะระเบิดจนต้องหวีดเสียงร้องลั่น
                 ของเหลวสีแดงสดในถ้วยทองสาดโครมเข้าร่าง ควันสีขาวพวยพุ่งไปทั่วปกคลุมร่างของเฟรินจนหายไปจากสายตา
                 ควันค่อยๆจางหายไป โครงร่างของผู้ที่ยืนอยู่กลางข่ายมนตร์เริ่มชัดเจนขึ้น รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวลงมาถึงกลางหลัง และเมื่อควันจางหายไปจนหมดใบหน้าหวานงดงามของเฟลีโอน่า เกรดเดเวล เดอะปรินเซสออฟเดมอสก็ปรากฏแก่สายตา


                  แสงจันทร์สีเหลืองนวลที่ส่องกระทบต้องผิวของร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงเบื้องหน้าของเขาแลงดงามน่ามองยิ่งนัก คาโลค่อยๆลูบไล้อย่างแผ่วเบาไปทั่วผิวเนียนก่อนจะก้มลงประทับจูบแผ่วเบาบนคอระหงส์ เฟรินตัวสั่นขึ้นน้อยๆเมื่อริมฝีปากของเขาสัมผัสลงบนผิวของเธอ คาโลพรมจูบไปทั่วลำคอขาวเนียนไล้มาจนถึงเนินอกอิ่ม เขาค่อยๆดึงเชือกที่ผูกรั้งชุดนอนบางเบาของเธอออกก่อนจะค่อยๆร่นเสื้อลงให้ประอยู่ที่ไหล่มน ริมฝีปากซุกซนพรมจูบลงบนไหล่มนแล้วไล่กลับไปที่ซอกคอขาวอีกครั้งก่อนจะขบเม้มสร้างรอยแสดงความเป็นเจ้าของทำให้เฟรินถึงกับสะดุ้ง คาโลเชยคางมนให้หันกลับมาหาตนเพื่อหวังจะจูบปลอบประโลมแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ร่างบางสั่นอย่างรุนแรงราวกับกำลังกลัว
                      “เฟริน! เป็นอะไรน่ะ ร้องไห้ทำไม” คาโลรีบถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
                      “ฮึก ฉัน..ฉันขอโทษ...ฉันกลัว.........” พูดด้วยเสียงสั่นเครือที่แสดงความกลัวอย่างเห็นได้ชัดยิ่งทำให้คาโลกังวลหนักยิ่งขึ้น
                       “กลัวอย่างนั้นหรอ? เธอกลัวอะไร?”
                       “ฉะ....ฉันกลัว นะ...นาย.....” คำตอบของเฟรินทำเอาคาโลอึ้งไปชั่วขณะ แววตาสีน้ำตาลที่สั่นไหวนั่นบ่งบอกว่ากำลังกลัวเขาอยู่จริงๆ
                       “ทุกครั้งที่นายสัมผัสฉัน ภาพตอนที่นาย....ทำร้ายฉันมันก็คอยผุดขึ้นมาอยู่เรื่อย มันทำให้ฉันกลัว.......” กล่าวจบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักยิ่งกว่าเก่าทำให้คาโลต้องคว้าตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขาไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เฟรินจะต้องเจ็บปวดและหวาดกลัวมากแค่ไหนกันนะ เห็นเธอเจ็บปวดขนาดนี้ใจเขาเองกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า เขาได้แต่โทษตัวเองที่ทำร้ายเฟรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                       “ฉันขอโทษ ฉันมันแย่เองที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆที่เคยสัญญากับเธอไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก”
                       “ฮึก มันไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย นายไม่รู้ตัวนี่” ปฏิเสธทั้งน้ำตาราวกับเด็กน้อยขี้แยทำให้คาโลต้องผละเธอออกจากอ้อมกอดแล้วใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอให้อย่างแผ่วเบา
                        “คราวนี้ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วจริงๆ การเสียสละของเธอทำให้ส่วนดำมืดในจิตใจของฉันถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอแบบนั้นอีกเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ขอโอกาสให้ฉันแก้ตัวอีกซักครั้งจะได้มั้ย เชื่อใจฉันอีกซักครั้งเถอะนะ” คาโลกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มทว่าหนักแน่น เฟรินพยักหน้าให้เขาเบาๆทั้งๆที่ยังสะอื้นอยู่ เขาค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าใกล้เธออย่างช้าๆ ทำให้เธอค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสอันอ่อนโยน จุมพิตอันอ่อนหวานถูกมอบให้แก่สาวน้อยที่กำลังหวาดกลัวราวกับจะปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำ ปากหยักจูบซับน้ำตาทั่วทั้งใบหน้ามนจนน้ำตาเหือดแห้งไปจนหมดก่อนจะค่อยๆประคองเฟรินให้นอนลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
                   "ฉันจะลบล้างความกลัวในจิตใจของเธอเอง" กล่าวจบก็สานต่อสิ่งที่ค้างไว้ คาโลดึงเชือกส่วนที่เหลืออยู่ออกจนสุดที่สะดือสวย ใบหน้าคมก้มลงจุมพิตที่เนินอกอิ่ม พรมจูบลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าท้องแบนราบแล้วมาหยุดอยู่ที่สะดือสวยก่อนจะใช้ลิ้นเลียลงไปในช่องว่างทำให้เฟรินรู้สึกวาบหวิวในช่องท้องจนขนลุกซู่ไปหมด ลิ้นร้อนลากลงมาเรื่อยๆจนถึงเนินเนื้ออันบอบบาง เขาค่อยๆจับขาเรียวให้แยกออกก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปในปากทางรักสีหวานแล้วไล้วนอยู่อย่างนั้นทำเอาเฟรินต้องเกร็งหน้าท้องเพื่อต้านความเสียว คาโลเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นปุ่มนูนสีชมพูที่อยู่เหนือปากทางรัก เขาใช้ลิ้นละเลงลงไปก่อนจะดูดดุนจนมันเปลี่ยนเป็นสีทับทิมทำเอาสาวน้อยเสียวกระสันจนต้องจิกเท้าลงบนเตียง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากส่วนมืออีกข้างก็จิกแน่นอยู่กับผ้าปูที่นอนจนยับย่นไปหมด
                        "ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก ปล่อยเสียงร้องออกมาเถอะ ฉันอยากได้ยินเสียงหวานๆของเธอ" คาโลเร่งความเร็วขึ้นจนสะโพกอิ่มอยู่ไม่ติดเตียง มือที่เคยปิดปากของเธออยู่เปลี่ยนมาขยุ้มที่กลุ่มผมสีเงินของคาโลแทน
                        "อื้อออออออออ คาโล......อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา" เธอส่งเสียงครางหวานออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะกระตุกเกร็งสองสามครั้งแล้วปล่อยน้ำใสๆให้พุ่งกระฉูดออกมาจากปากทางรัก คาโลดูดกลืนน้ำหวานทุกหยาดหยดจนไม่มีเหลือ เขาเงยหน้าขึ้นมามองร่างบางที่หอบหายใจจนตัวโยนเพราะความสุขสมที่ได้รับ นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างมองเธอด้วยสายตาหยาดเยิ้มราวจะกลืนกินก่อนจะค่อยๆแลบลิ้นออกมาเลียวนรอบริมฝีปากตัวเองเพื่อเก็บกินน้ำหวานทุกหยาดหยดที่ยังเหลือค้างอยู่ทำเอาเฟรินหน้าร้อนวูบวาบด้วยความเขิน
                         คาโลค่อยๆถอดเสื้อของตนออกเผยให้เห็นมัดกล้ามขาวจัด กล้ามท้องเป็นลอนสวยกระเพื่อมขึ้นลงแผ่วเบาตามจังหวะการหายใจ เฟรินรู้สึกตัวว่าเผลอมองเขานานเกินไปแล้วจึงรีบหันไปมองทางอื่น พวงแก้มใสขึ้นสีแดงจัดชัดเจนแม้อยู่ภายในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ให้ความสว่าง คาโลหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดู มือใหญ่เชยคางมนให้หันมาสบตาก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบาลงบนริมฝีปากอิ่ม ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปโนโพรงปากอุ่นก่อนจะเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างหยอกล้อ จูบอันอ่อนโยนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจุมพิตอันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ คาโลใช้จังหวะที่เฟรินกำลังเคลิ้มแทรกตัวตนเข้าไปในตัวเธออย่างแผ่วเบา เขาสัมผัสไปทั่วร่างกายเธอเพื่อให้เธอผ่อนคลายมากที่สุดก่อนจะดันตัวตนให้เข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ เฟรินผละจูบออกอย่างกระทันหันก่อนจะบีบไหล่ของคาโลไว้แน่นเมื่อเขาดันตัวตนเข้าไปจนสุด คาโลก้มลงประทับจูบให้แก่เฟรินอีกครั้งเพื่อให้เธอละความสนใจจากความอึดอัดที่ช่วงล่างเขายังคงไม่ยอมขยับสะโพกจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเฟรินหายเกร็งแล้ว
                        สะโพกสอบเริ่มขยับอย่างอ่อนโยนทำให้เฟรินรู้สึกเสียววาบอย่างบอกไม่ถูก คาโลเปลี่ยนเป้าหมายจากปากอวบอิ่มมาที่ยอดอกสีทับทิมแทน เขาดูดดุนมันราวกับอมยิ้มรสอร่อย สลับข้างซ้ายขวาไม่ให้น้อยหน้ากันในขณะที่สะโพกสอบก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เขาขยับอย่างเนิบนาบแล้วเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆก่อนจะผ่อนความเร็วลงสลับกันไปมาทำเอาสาวน้อยใต้ร่างแทบสำลักความสุข ขาเรียวเกี่ยวสะโพกแกร่งเอาไว้แน่นเพื่อให้เขาเข้าไปในตัวเธอได้ลึกยิ่งขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอใกล้จะถึงจุดสูงสุดอีกครั้งคาโลจึงเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาขยับเข้าออกถี่รัวและไม่ผ่อนความเร็วลงเลยจนเฟรินต้องจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายอารมณ์ คาโลกระแทกเน้นๆอีกสองสามครั้งก่อนจะปลดปล่อยเข้าไปในตัวเธอพร้อมๆกับที่เฟรินกรีดร้องออกมาเมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายไปอีกรอบ
                         ทั้งคู่หอบหายใจอย่างหนักหน่วงลมหายใจเป่ารดกันและกันราวกับเพิ่งไปวิ่งมาหลายกิโลเมตร
                         "เป็นยังไงบ้าง หายกลัวฉันหรือยัง" คาโลกระซิบเผ่าเบาด้วยเสียงแหบพร่าเพราะยังหอบหายใจอยู่
                         "อื้ม" เฟรินตอบรับในลำคอด้วยเสียงแผ่วเบา ถึงแม้คาโลจะได้ยินแล้วแต่คนขี้แกล้งกลับแกล้งทำเป็นไขสือ
                          "ห้ะ อะไรนะ? ไม่ได้ยินเลย เสียงเบาอย่างนี้สงสัยคงยังไม่หาย ดูท่าจะต้องต่ออีกสักรอบแล้วล่ะ"
                         "ไม่เอาแล้ว!! ฉันหายกลัวแล้ว" เฟรินรีบพูดออกมาเสียงดังทันทีเมื่อเห็นว่าคาโลทำท่าจะทำจริงตามที่พูด
                          "แน่ใจหรอ? ลองอีกซักทีดีมั้ยเผื่อยังไม่หายดี" ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเฟรินต้องรีบดันอกแกร่งเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้
                          "พอเลยนะไอ้เจ้าชายน้ำแข็งลามก"
                          "ฮ่าๆๆๆๆๆ ก็ได้ๆๆ พอก็ได้ แต่ขอนอนกอดเธอเอาไว้แบบนี้ได้มั้ย" เฟรินพยักหน้าให้เบาๆก่อนจะซุกหน้าลงกับอกแกร่ง คาโลกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มลงประทับจูบบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา
                          "ได้กอดธิดาแห่งความมืดใต้แสงจันทร์แบบนี้ก็อุ่นดีเหมือนกันนะ"
                          "ฉันก็ไม่เคยคิดว่าอ้อมกอดของเจ้าชายน้ำแข็งจะอุ่นขนาดนี้เหมือนกันนั่นแหละ"
                          "ฉันสัญญา ว่าจะไม่มีใครมาพรากอ้อมกอดนี้ไปจากเธอได้อีก"
                          "ฉันก็สัญญาเหมือนกันว่าจะซุกอยู่ในอ้อมอกของนายเพียงคนเดียวตลอดไป" กล่าวพลางถูไถหน้าไปมากับอกแกร่งทำให้คาโลต้องยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ เขาลูบหัวเธอไปเรื่อยๆจนในที่สุดทั้งคู่ก็หลับไปใต้แสงจันทร์............

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 5 : จ้าวปีศาจแห่งเดมอส ปะทะ พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


            เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า สิ่งแรกที่เธอรับรู้คือเธออยู่ในพาหนะบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ สิ่งต่อมาที่รับรู้คือความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง แรงกระแทกจากพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นไปอีก เฟรินพยายามจะขยับตัวไปที่หน้าต่างแต่เธอก็พบว่ามือและเท้าของเธอถูกมัดเอาไว้ทำให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้
            เกวียนเทียมม้าค่อยๆผ่อนความเร็วลงก่อนจะหยุดนิ่งสนิท เฟรินรับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอมากเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าเกวียนของเธอพอดีก่อนที่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกจะเปิดผ้าม่านขึ้นส่งผลให้แสงสว่างจ้าส่องผ่านเข้ามากระทบตาจนเธอต้องรีบหลับตาปี๋
            เธอกระพริบตาพี่ๆเพื่อปรับให้ชินกับแสงก่อนจะมองเห็นใบหน้าของผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าที่กำลังส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยมาให้อยู่
            “ว่ายังไง ธิดาแห่งความมืด เมื่อคืนฮันนีมูนกับคู่หมั้นเป็นยังไงบ้าง ถึงใจดีมั้ยล่ะ?” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันที่ทำเอาเฟรินหน้าชาวาบ ความโกรธทำให้เธอพยายามพุ่งตัวเข้าหาเขา แต่เพียงแค่ขยับความปวดร้าวก็แล่นริ้วขึ้นมาจนต้องลงไปนอนกองกับพื้นเกวียนตามเดิม นั่นยิ่งทำให้อาเธอร์หัวเราะขบขันดังยิ่งกว่าเดิม
            “แกต้องการอะไรจากฉัน จับตัวฉันมาทำไม ทำไมไม่ฆ่าฉันให้มันจบๆไปซะ!
            “ถ้าฆ่าเธอแล้วฉันจะเอาอะไรไปต่อรองกับจ้าวปีศาจพ่อของเธอล่ะ? อีกอย่าง เธอยังมีประโยชน์เกินกว่าจะฆ่าทิ้งเสียเฉยๆ อย่างน้อยเธอก็ทำให้คาโลอารมณ์ดีขึ้นได้ล่ะนะ หึหึหึ” คำพูดหยาบโลนของเขาทำให้เธอโกรธจนตัวสั่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
            “เพราะฉะนั้นกินข้าวเอาแรงซักหน่อยเถอะ เผื่อคืนนี้คาโลต้องการตัวเธออีก จะได้มีแรงไง” กล่าวพร้อมยิ้มให้ก่อนจะตักข้าวจากจานข้าวที่ถือมาจ่อเข้าที่ปากของเธอ เฟรินใช้มือที่โดนมัดอยู่ทั้งสองข้างปัดชามข้าวให้ตกลงบนพื้นอย่างแรงแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
            “หึ ไม่กินก็ตามใจ แต่อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้ล่ะ คาโลสุดที่รักของเธอรออยู่นะ” กล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนจะเดินลงจากเกวียนไปทิ้งให้เธอต้องเจ็บใจอยู่คนเดียว
           
            คืนนี้กองทัพของปรินซ์อาเธอร์ตั้งค่ายอยู่ที่ชายป่าก่อนจะเข้านครจันทรา เฟรินที่ตอนนี้ถูกมัดแค่ข้อมือถูกทหารสองคนเดินนำไปที่กระโจมใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงทางเข้ากระโจมพวกเขาก็หยุดเพื่อแกะเชือกที่มัดข้อมือของเธออยู่ออกก่อนจะผลักเธอเข้าไปภายในกระโจม
            เฟรินเสียหลักล้มลงบนพื้นเพราะร่างกายของเธอตอนนี้ยังไม่หายดี เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปทั่วกระโจมก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่บนเตียงกว้างที่มีร่างสูงอันคุ้นเคยนั่งอยู่ที่ปลายเตียง แววตาสีฟ้ากระจ่างเหมือนกับคืนก่อนไม่ผิดเพี้ยน เป็นแววตาที่บ่งบอกถึงอันตราย แววตาหิวกระหายที่กำลังจ้องมองเธอราวกับอยากจะขยี้เธอให้แหลกคามือ
            มือใหญ่ยื่นออกมาข้างหน้าก่อนเฟรินจะรู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างดึงตัวเธอให้เข้าไปหา เพียงพริบตาเดียวเธอก็มานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว เมื่อคาโลเริ่มปลดตะขอกางเกงออกเธอก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อไป เฟรินก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตารินไหลจากใบหน้าหยดลงบนพื้นอย่างยอมรับในชะตากรรม มือแกร่งช้อนคางมนให้เงยขึ้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่เคยสะท้อนแววสุกใสบัดนี้กลับมีเพียงความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เธอพยายามค้นเข้าไปในดวงตาสีฟ้ากระจ่างด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าจะพบชายคนที่เธอรักอยู่ในนั้นแต่ก็ล้มเหลว สิ่งที่เธอพบมีเพียงซาตานที่เตรียมพร้อมจะทรมานเธออีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง......

            เฟรินลืมตาขึ้นมาในเช้าวันใหม่และพบว่าเธอยังคงอยู่ในกระโจมของคาโลเหมือนเดิม เธอหันไปข้างๆยังที่ๆคาโลควรจะนอนอยู่แต่กลับพบว่ามันว่างเปล่า เสียงบางอย่างที่บริเวณทางเข้ากระโจมทำให้เธอต้องหันขวับไปมองก็พบว่าเป็นหญิงรับใช้สองคนที่ถืออ่างใส่น้ำและเสื้อผ้าเข้ามา ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงหน้าเตียงของเธอก่อนจะโค้งทำความเคารพให้แล้ววางของลงที่โต๊ะข้างเตียงแล้วตรงเข้ามาพยายามทำความสะอาดตัวเธอทันที
            “เดี๋ยวก่อน นี่ หยุดนะ! พวกเธอจะทำอะไรเนี่ย!” เฟรินโวยวายใหญ่โตจนสาวใช้ยอมหยุดเพื่ออธิบายให้เธอฟัง
            “ก็เตรียมตัวท่านให้พร้อมน่ะสิคะ”
            “พร้อม? พร้อมสำหรับอะไร?”
            “เดี๋ยวท่านก็รู้เองแหละค่ะ ตอนนี้ปล่อยให้เราทำความสะอาดตัวท่านดีๆเถอะ ไม่งั้นเราอาจต้องให้ทหารยามหน้าห้องมาทำแทนนะ”  เพราะคำขู่นั้นทำให้เฟรินยอมหยุดโวยวายแล้วปล่อยให้สาวใช้ทำงานต่อแต่โดยดี สาวใช้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแขนเธอเบาๆแต่มันกลับทำให้เธอเจ็บจนต้องร้องออกมาเมื่อมันเผลอไปโดนตรงรอยช้ำจากฝีมือของคาโลที่สร้างไว้ทั่วตัวเธอพอดี สาวใช้ชะงักด้วยความตกใจก่อนจะลูบเบาๆที่บริเวณรอยช้ำ เฟรินรับรู้ได้ว่าสายตาที่เธอมองมันมีความสงสารอย่างเห็นได้ชัดทำให้เธอเลือกที่จะใช้ความสงสารให้เป็นประโยชน์
            “พี่สาว พี่ก็รู้ใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้” สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนจะหรุบตาลงแล้วพยักหน้าให้เบาๆ
            “คนรักของฉันกลายเป็นปีศาจร้ายที่ทำร้ายฉันเอง ฉันไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก ฉันกลัว......” ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การหลอกล่อให้สาวใช้ยอมเผยความลับแต่สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มันทำให้เธอน้ำตารื้นขึ้นมาจนสาวใช้ใจอ่อนยวบ เธอหันไปมองหน้าสาวใช้อีกคนอย่างขอความเห็น เมื่อเห็นว่าเพื่อนพยักหน้าให้แล้วจึงหันมาพูดกับเธอ
            “ท่านไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำร้ายท่านหรอกค่ะ อย่างน้อยก็ตอนนี้.....”
            “ตอนนี้หรอ? หมายความว่ายังไง?”
            “ปรินซ์อาเธอร์ส่งสาส์นท้ารบไปยังจ้าวปีศาจเอวิเดส เขาขอให้จ้าวปีศาจออกมาสู้ตัวต่อตัวกับท่านคาโลแล้วเขาจะยอมส่งตัวท่านกลับไปให้ หากไม่ยอม เขาจะฆ่าท่านซะ....” คำพูดของสาวใช้ทำให้เธออึ้งไปชั่วขณะ ท่านพ่อกับคาโลตัวต่อตัวอย่างนั้นหรอ? แล้วใครจะชนะล่ะ? อีกฝ่ายก็เป็นจ้าวปีศาจที่มีพลังมหาศาลเหนือใคร ส่วนอีกฝ่ายก็ยังไม่มีใครรู้ขีดจำกัดความสามารถมาก่อน แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าเรื่องที่คนทั้งคู่ล้วนเป็นคนที่เธอรัก ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะมันก็ไม่เป็นผลดีกับเธอทั้งนั้น
           
            สาวใช้จัดการทำความสะอาดตัวเธอจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมแต่งองค์ทรงเครื่องให้เธอจนดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่อาจอำพรางร่องรอยม่วงช้ำที่มีอยู่ทั่วตัวได้หมด เสียงเป่าแตรที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาทันที เสียงอึกทึกวุ่นวายที่ดังขึ้นข้างนอกกระโจมทำให้เธอยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
            “จ้าวปีศาจ!! จ้าวปีศาจเอวิเดสอยู่ที่นี่แล้ว!” เสียงตะโกนนั้นทำให้ทั้งสามคนในกระโจมหันมามองหน้ากันพร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากทันที
            “คงถึงเวลาที่ท่านต้องออกไปหาท่านพ่อของท่านแล้วล่ะค่ะ”

            สาวใช้นำตัวเฟรินเดินออกจากกระโจมไปยังลานกว้างกลางค่ายที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการประลองในครั้งนี้โดยเฉพาะ ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวผมดำถักเปียยาวลงมาที่ยืนตระหง่านอยุ่กลางลานจะเป็นใครไม่ได้นอกจากจ้าวปีศาจเอวิเดส พ่อของเธอนั่นเอง
            “ท่านมาคนเดียวตามสัญญาจริงๆสินะ จ้าวปีศาจ” อาเธอร์กล่าวขึ้นพร้อมโค้งให้น้อยๆ
            “ใช่ ข้ามาคนเดียวตามที่สัญญา ลูกสาวข้าอยู่ที่ไหน?”สุรเสียงทรงอำนาจทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นขนลุกชันไปตามๆกันแต่อาเธอร์กลับยังยิ้มอยู่ได้ เขาส่งสัญญาณให้สาวใช้พาเฟรินไปยืนข้างๆก่อนจะตอบกลับท่านจ้าวไป
            “ลูกสาวของท่านปลอดภัยดีอยู่ที่นี่ ท่านจะได้ตัวนางคืนไปทันทีหากท่านเอาชนะคาโลได้” เฟรินเหลือบมองไปทางคาโลทันทีที่อาเธอร์กล่าวถึงเขา คาโลยังคงดูนิ่งขรึมและเย็นชาเหมือนปกติมิได้ดูหวาดเกรงต่อความน่าเกรงขามของพ่อของเธอแต่อย่างใด
            “ถ้าอย่างนั้นก็มาทำให้มันจบๆซักทีเถอะ” ท่านจ้าวกล่าวด้วยสุรเสียงทรงอำนาจก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อแสดงถึงการเตรียมพร้อม อาเธอร์หันไปพยักหน้าให้คาโล คาโลจึงก้าวออกไปข้างหน้า เฟรินมองตามเขาไปอย่างเป็นห่วงจนเขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าท่านพ่อของเธอพอดี
            ฉับพลันทันใดท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสไร้เมฆหมอกบดบังก็พลันมืดครึ้มลงทันตา เสียงฟ้าร้องครามครันตามมาด้วยสายฟ้าที่ฟาดลงตรงกลางระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งคู่ส่งผลให้แผ่นดินแยกออกจากกันทันที ทั้งคู่ร่ายเวทย์สร้างลูกไฟขึ้นมาฝ่ายจ้าวปีศาจเป็นลูกไฟสีดำ ฝ่ายคาโลเป็นลูกไฟสีขาว ฉับพลันทั้งคู่ก็ปล่อยลูกไฟเข้าปะทะกันจนเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ลำแสงทั้งสองมาบรรจบกันตรงกลางต่างพยายามดันลำแสงให้ไปหาอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนพลังของทั้งคู่จะสูสีกันไม่น้อยเพราะต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ หากใครเผลอเพลี่ยงพล้ำไปแม้เพียงนิดก็อาจจะทำให้ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้
            เฟรินเฝ้ามองการต่อสู่ด้วยความกระวนกระวาย หัวใจของเธอราวกับถูกบีบคั้นทุกครั้งที่ลำแสงเอนเอียงไปหาฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป ตอนนี้ทั้งคู่ก็ต่อสู่กันมานานพอสมควรแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครยอมแพ้ใคร มือของทั้งคู่เริ่มสั่นด้วยความล้าเพราะต้องต้านแรงพลังจากอีกฝ่ายไว้ ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนี้อาจจะมีใครซักคนทนไม่ไหวขึ้นมาก็ได้ เฟรินตัดสินใจทำบางอย่างที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตหัวขโมยจะทำได้ เธอสลัดตัวออกจากการกอบกุมของสองสาวใช้ก่อนจะวิ่งลงไปกลางสนามประลอง เฟรินกระโดดเข้าไปตรงจุดที่ลำแสงทั้งสองมาเชื่อมต่อกันพอดี ร่างของเธอสว่างวาบขึ้นก่อนที่ลำแสงจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ลำแสงเล็กๆสีทองแตกออกจากร่างเธอก่อนจะล้อมเธอไว้เป็นวงกลมและพาให้ร่างเธอลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปล่อยพลังเวทย์ทั้งสองมือสั่นเทิ้มด้วยแรงพลังที่ถูกปลดปล่อยออกจากตัวของเฟรินจนยากจะประคองตัวไว้ได้ไหว ในที่สุดเมื่อร่างของเธอลอยค้างอยู่เหนือหัวทุกคน ลำแสงสีทองก็สว่างจ้าขึ้น แรงพลังแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศยังผลให้คู่ประลองทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศละทาง
            เมื่อไร้ลำแสงที่ประคองตัวเธอไว้กลางอากาศร่างของเฟรินก็ร่วงลงบนพื้น ท่านจ้าวเอวิเดสและคาโลที่พ้นจากฤทธิ์ของน้ำยาสะกดใจแล้วรีบวิ่งมาดูอาการของเธอทันที คาโลมาถึงก่อนจึงประคองเฟรินไว้ในอ้อมอก ก่อนจะรีบกล่าวอย่างกระวนกระวาย
            “เฟริน! เฟรินลืมตาขึ้นมาสิ!” คาโลเขย่าตัวเธออย่างแรงจนในที่สุดเธอก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
            “คา.....โล.....” เฟรินเรียกชื่อคาโลด้วยเสียงรวยรินเต็มทีพร้อมพยายามยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาทำให้คาโลต้องรีบจับมือของเธอเอาไว้แล้วแนบเข้ากับใบหน้าของตนเองทันที
            “ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่แล้ว”
            “นะ..นายกลับมาเป็นคนเดิมแล้วชะ..ใช่มั้ย....”
            “ใช่ ใช่ ฉันขอโทษ เฟรินฉันขอโทษ...”กล่าวพลางน้ำตาก็พร่างพรูลงมาอย่างช่วยไม่ได้แต่เฟรินกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เขา
            “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แค่นาย...กลับมาเป็นคนเดิม ฉันก็ มี ความสุขแล้ว.....” คำพูดของเธอทำให้คาโลร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิมเขาดึงมือของเธอมาจุมพิตลงไป เฟรินหันไปทางท่านพ่อของเธอ มือบางยกขึ้นตรงหน้าทำให้ท่านจ้าวรีบรับมากุมเอาไว้
            “หนูขอโทษนะคะท่านพ่อ.....ขอโทษที่ยังไม่เคยทำหน้าที่ลูกที่ดีเลยซักครั้ง แต่ตอนนี้หนูคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว.....” ท่านจ้าวส่ายหัวพร้อมน้ำตาที่รินไหลลงมา เขายิ้มกว้างให้เธอก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ
            “ลูกเป็นลูกที่ดีที่สุด พ่อรักลูกนะ....”

            “หนูก็รักพ่อค่ะ นายด้วย ฉันรักนายนะ คาโล......”ประโยคแรกพูดกับพ่อของเธอก่อนจะหันมาพูดประโยคหลังกับคาโล เฟรินยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปลือกตาที่หนักอึ้งจะค่อยๆปิดลง มือทั้งสองข้างตกลงมาอยู่ข้างกาย แล้วลมหายใจสุดท้ายของเธอก็ถูกพรากไป........


มาต่ออย่างรวดเร็ว ทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ ตู้ม!!!! งานดราม่าก็มา.......................

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค2 ตอนที่ 4 : พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล Darker [NC25+]


ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


ท้องพระโรงใหญ่ของพระราชวังแห่งคาโนวาลเนืองแน่นไปด้วยข้าราชบริภารและขุนนางน้อยใหญ่จากทั่วทั้งเอเดนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแห่งคาโนวาล นอกจากนี้เพื่อนๆของคาโลจากป้อมอัศวิน ทั้งคิล ฟีลมัส โร เซวาเรส เพื่อนๆปีสามทั้งหมด รวมถึงโรเวน วิเวียนก็มาด้วย ทุกคนอยู่ในชุดเต็มยศเป็นทางการจับกลุ่มคุยอยู่กับว่าที่เจ้าชายรัชทายาทอย่างเป็นทางการแห่งคาโนวาลอย่างคาโลในเสื้อสีน้ำเงินประดับเหรียญประจำราชวงศ์คลุมด้วยผ้าคลุมกำมะหยี่สีดำอันเป็นเครื่องแบบของนักรบแห่งคาโนวาล มือขวาถือคทาหัวลูกแก้วสีดำคู่ใจไว้ข้างตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤกษ์เข้าพิธีแล้วแต่เขายังไม่เห็นวี่แววของเจ้าหัวขโมยตัวแสบคู่หมั้นของเขาเลยทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาหน่อยๆ
"เฟรินอยู่ไหนน่ะ ทำไมยังไม่มาอีก ฉันว่าฉันไปตามดีกว่า" คาโลกล่าวด้วยความกังวลพร้อมทำท่าจะเดินออกจากท้องพระโรงทำเอาเพื่อนๆต้องรีบรั้งตัวไว้แทบไม่ทันเพราะนี่มันใกล้จะถึงเวลาเข้าพิธีแล้วขืนคาโลไปตอนนี้กลับมาไม่ทันแน่
"แกอยู่นี่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปตามเฟรินเอง" คิลกล่าวขึ้นพร้อมเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที
"ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เฟรินคงจะอยากแต่งตัวให้ดูดีที่สุดในฐานะคู่หมั้นของเจ้าชายรัชทายาทก็เลยช้า ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ" โรเวนกล่าวพร้อมขยิบตาให้ แต่นั่นไม่ทำให้คาโลคลายความกังวลลงได้เลยเพราะเขารู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเฟรินไม่ใช่คนที่จะมาเสียเวลากับเรื่องแบบนั้นเป็นแน่
"เจ้าชายคาโล ถึงเวลาเข้าพิธีแล้วพะยะค่ะ" ข้าราชบริภารคนหนึ่งเดินมาบอกทำให้คาโลต้องรีบเดินตามไปแต่ในใจก็ยังกังวลเกี่ยวกับเฟรินอยู่

คิงบาโรแห่งคาโนวาลขึ้นนั่งประทับบนบัลลังก์โดยมีคาโลยืนอยู่ข้างๆทำให้เหล่าขุนนางและผู้มาร่วมงานทุกคนยืนประจำที่เรียงเป็นแถวอย่างสวยงาม คาโลหันกลับไปดูที่ทางเข้าท้องพระโรงอีกครั้งก็ปรากฏร่างของคิลกับเฟรินเดินเข้ามาพอดีทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองเดินเข้าประจำที่ก่อนเฟรินจะหันมาสบตากับเขาพอดี ชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าแววตาของเธอดูแปลกไปแต่แล้วเขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อเฟรินยิ้มมาให้อย่างสดใสเขาจึงยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

"ไปเจอเฟรินที่ไหนล่ะ? ห้องแต่งตัวหรอ?" โรเวนกระเซ้าถามคิล
"เจอระหว่างทางเดินมาท้องพระโรงนี่แหละครับ"
"แหม่ เดี๋ยวนี้พอเป็นผู้หญิงแล้วรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วสินะเฟริน" โรเวนหันไปพูดหยอกล้อกับเฟรินแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆทั้งสิ้นทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจหน่อยๆ แต่ก็ต้องละความสนใจไปเมื่อพิธีเริ่มขึ้นพอดี
"คาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟคาโนวาล ท่านให้คำสัตย์ได้หรือไม่ ว่าจะจงรักและภักดีต่อคาโนวาล ปกครองด้วยความเป็นธรรม รวมถึงคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก" 
"ข้าขอให้คำสัตย์"
"หากท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริงขอจงดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยานี้เพื่อเป็นการสาบานตน"
ข้าราชบริภารถือถาดใส่ถ้วยเงินสลักลวดลายวิจิตรประดับด้วยทับทิมเข้ามา ภายในมีน้ำลักษณะใสๆใส่อยู่จนเต็มถ้วย คาโลถือถ้วยขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด
"ข้า ในฐานะพระราชาแห่งคาโนวาล ขอแต่งตั้งคาโล วาเนบลีเป็นเจ้าชายรัชทายาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!" คิงบาโรกล่าวเสียงดังฟังชัดพร้อมยกดาบขึ้นมาทาบที่บ่าของผู้เป็นโอรส
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นแหวกความเงียบของพระราชพิธีขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปยังที่มาของเสียงเป็นทางเดียวกัน ร่างของเฟรินค่อยๆลอยขึ้นบนฟ้าพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องที่ยังดังไม่หยุดหย่อน จู่ๆมือขนาดมหึมาก็โผล่ขึ้นกลางอากาศ มือนั้นคว้าทะลุร่างของเฟรินก่อนจะควักหัวใจออกจากตัวนางแล้วบดขยี้จนมันกลายเป็นผุยผงทำให้เสียงกรีดร้องหยุดลงทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียงพริบตาเดียวทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ลืมหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเฟรินค่อยๆสลายกลายเป็นเพียงหมอกควันไปในอากาศ.........

ภาพคนรักที่สลายกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตาทำให้คาโลโกธธจนขาดสติ ทั้งความโกรธและความเสียใจมันหลั่งไหลออกมาจนท่วมท้น ส่วนดำมืดในจิตใจของเขาถูกปลุกขึ้นอีกครั้งจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มือขาวกำคทาไว้แน่นจนสั่นไปหมด หัวคทาเปล่งแสงเรืองรองสว่างจ้า ไอมนตร์ดำแผ่กระจายออกจากทั่วร่างยังความเย็นยะเยือกให้แก่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ขณะนี้ทุกคนหันกลับมามองยังร่างที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรงเป็นตาเดียว ร่างของเจ้าชายรัชทายาทที่บัดนี้กลายเป็นซาตานไปเสียแล้ว........

เฟรินพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการที่พันข้อมือและข้อเท้าของเธออยู่ มือเรียวสีกันไปมาจนข้อมือแดงเถือกและมีเลือดซิบ แต่แล้วในที่สุดเธอก็สามารถปลดมือออกจากเชือกที่มัดข้อมือเธออยู่ได้ เฟรินรีบดึงผ้าที่อุดปากเธออยู่ออกก่อนจะแก้เชือกที่พันข้อเท้า ทันทีที่เป็นอิสระเธอก็ผลักประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นที่กักขังเธอออกอย่างแรงแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

เฟรินรีบวิ่งไปยังท้องพระโรงอันเป็นที่ประกอบพิธีก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้เห็นภาพชายคนรักที่บัดนี้กลายร่างเป็นซาตานไปเสียแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปทันทีแต่จู่ๆก็มีมือหนึ่งมาดึงตัวเธอเอาไว้เสียก่อน
"เฟริน!! แกยังไม่ตายหรอ!?" คิลกล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคาโลถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้" เฟรินถามด้วยความร้อนรนโดยไม่ได้สนใจคำถามของเพื่อนเลย
"ก็เพราะมันคิดว่าแกตายแล้วน่ะสิ แต่ มันเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี๊เราทุกคนเห็นกับตาว่าแกโดนบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว" คำอธิบายของคิลทำให้เฟรินเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นทันที เธอรีบวิ่งตรงเข้าไปยืนตรงหน้าของคาโลก่อนจะตะโกนเสียงดัง
"คาโล!! ฉันอยู่นี่ ฉันยังไม่ตาย นายได้ยินมั้ยว่าฉันยังไม่ตาย ฉันเฟริน เดอเบอร์โรว์คู่หมั้นของนายยังอยู่ตรงนี้!" ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงมีสายตาที่ว่างเปล่าและดูไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอด้วยซ้ำ เฟรินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาตรงๆ แต่ทันทีที่เธอพยายามจะเอื้อมมือไปสัมผัสเขาคาโลก็สะบัดคทามาทางเธออย่างแรงทำให้เธอโดนแรงอัดจากพลังกระแทกจนกระเด็นมากองอยู่กับพื้น
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคุยกับเขาหรอก เพราะตอนนี้เขาก็เป็นแค่หุ่นเชิดที่ไร้จิตใจของฉันเท่านั้นแหละ" เจ้าชายอาเธอร์ก้าวออกมาจากฝูงชนก่อนจะเดินตรงไปทางคาโล
"แก!" คิลแยกเขี้ยววับพร้อมทำท่าจะพุ่งเข้าใส่อาเธอร์แต่แล้วความพยายามก็ล้มไม่เป็นท่าเมื่ออาเธอร์ออกคำสั่งกับคาโลทำให้คิลโดนแรงกระแทกจากพลังกระเด็นไปนอนบนพื้นอีกราย
"ฮ่าๆๆๆ ฉันบอกแล้วไงว่าตอนนี้คาโลอยู่ในความควบคุมของฉันแล้ว พวกแกมันโง่ที่พยายามให้เขาซ่อนเร้นส่วนที่มีพลังมากมายมหาศาลเอาไว้ ตอนนี้ ฉันจะทำในสิ่งที่พวกแกไม่กล้าทำแทนเอง ทั่วทั้งเอเดนและเดมอสจะต้องมาสยบแทบเท้าของฉัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พูดจบก็เดินเข้าไปหาคาโลก่อนทั้งคู่จะหายตัวไปพร้อมกันทันที


เฟรินลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงไปที่ทางออกทันทีแต่ยังไม่ทันถึงประตูทางออกเธอก็ถูกรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
"เธอจะไปไหนน่ะเฟริน" โร เซวาเรสนั่นเองที่เป็นคนรั้งเธอเอาไว้ เฟรินหันกลับมาเขาพร้อมพยายามแกะมือของเขาออก
"ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปตามคาโล!!"
"เธอจะบ้ารึไง เมื่อกี๊เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้คาโลไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ขืนเธอไปหาเขาตอนนี้เขาอาจจะทำร้ายเธอขึ้นมาอีกก็ได้นะ"
"ฉันไม่สน ฉันจะไม่ยอมให้คาโลต้องตกเป็นเครื่องมือของคนชั่ว ฉันจะไปช่วยเขา!" เฟรินตะโกนเสียงดังแล้วพยายามยื้อแขนออกจากการกอบกุมของโรอย่างเอาเป็นเอาตายจนโรเวนต้องเข้ามาช่วยปรามอีกแรง
"เฟริน ใจเย็นๆก่อน ขืนเธอผลีผลามเข้าไปหาเขาตอนนี้มันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจมั้ย" คำพูดของโรเวนดูมีเหตุผลทำให้เฟรินเริ่มใจเย็นลงได้ เธอพยักหน้าอย่างหมดแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น
"ทีนี้เล่าให้ฟังได้รึยัง ว่าทำไมแกถึงยังไม่ตายน่ะ?" คิลถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"ฉันยังไม่ตายก็เพราะว่าที่ตายนั่นมันไม่ใช่ฉันน่ะสิ หรือถ้าจะพูดให้ถูกไอ้ที่สลายเป็นผุยผงไปน่ะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ"
"แล้วถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะคะ?" วิเวียนถามขึ้นบ้าง
"มันเป็นหุ่นที่ถูกเสกขึ้นมาให้เหมือนกับฉันน่ะสิ"
"ถึงว่าล่ะ ฉันแซวอะไรไปก็ไม่หือไม่อือ นึกว่าเดี๋ยวนี้สวยแล้วหยิ่งซะอีก" โรเวนกล่าวขึ้นขำๆ
"แล้วในระหว่างทำพิธีพี่หญิงอยู่ที่ไหนล่ะคะ"
"ฉันก็ถูกอาเธอร์จับขังเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าน่ะสิ ฉันพยายามแก้มัดตัวเองจนในที่สุดก็หลุดออกมาได้ตอนที่ทุกคนเห็นฉันนั่นแหละ" 
"จากเท่าที่เห็น อาเธอร์เตรียมการมาเป็นอย่างดี แสดงว่าเขาต้องวางแผนไว้นานแล้วแน่ๆ ว่าแต่เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน" โร เซวาเรสกล่าว
"คาโลในเวลาปกติทรงพลังมากก็จริง แต่นั่นไม่อาจเทียบอะไรได้เลยกับคาโลในยามขาดสติ พลังมหาศาลที่ถูกซ่อนอยู่ภายในจิตใจส่วนลึกของเขานั้นอาจจะมากพอที่เอาชนะเอวิเดสได้เลยทีเดียว" โรเวนกล่าวขึ้นมาพลางนึกย้อนไปถึงครั้งที่พวกเขาปะทะกับเผ่าคนแคระกินคนแห่งหุบเขาหัวกะโหลก
"ว่าแต่ เจ้าชายอาเธอร์ควบคุมเจ้าชายคาโลได้ยังไงล่ะคะ?" คำถามนี้ทำให้ทุกคนต้องครุ่นคิดกันอย่างหนักจนเมื่อโร เซวาเรสเหลือบไปเห็นถ้วยใส่น้ำพิพัฒน์สัตยาที่หล่นอยู่บนพื้นนั่นก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก โรเดินไปหยิบแก้วมาถือไว้ในมือก่อนจะอธิบายให้แก่ทุกคนฟัง
"นี่ไง สาเหตุที่ทำให้อาเธอร์ควบคุมคาโลได้ เขาต้องแอบใส่น้ำยาสะกดใจไว้ในน้ำพิพัฒน์สัตยาที่คาโลดื่มไปแน่ๆ และเมื่อคาโลขาดสตินั่นก็ทำให้เขาถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์"
"แล้วเราจะทำให้เขาหลุดพ้นจากการควบคุมได้ยังไง?" เฟรินถามขึ้น
"มันต้องมีบางอย่างที่มากระทบใจเขามากพอ บางอย่างที่จะดึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาได้"
"แล้วมันคืออะไรล่ะ?
"เธอไงเฟริน เธอคือคนที่คาโลรักมากที่สุด เธอเป็นคนเดียวที่จะสามารถดึงตัวตนที่แท้จริงของคาโลให้หลุดพ้นออกจากการควบคุมของอาเธอร์ได้ แต่นั่นมันไม่ง่ายเลย ก่อนอื่นเราต้องหาทางเข้าใกล้เขาให้ได้มากพอก่อน"
"ใช่ งานนี้ ถ้าเข้าไปตรงๆไม่ได้ ก็คงต้องใช้เล่ห์กลกันหน่อยแล้วล่ะ" โรเวนกล่าวขึ้นพร้อมยิ้มจุดประกายความหวังของทุกคนขึ้นมาทันที


กองทัพพิชิตเดมอสที่ตั้งขึ้นโดยปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน ออฟซาเรสแน่นขนัดไปด้วยเหล่านักรบจากทั่วทุกสารทิศ บ้างก็มาเพราะอยากพิชิตเดมอส บ้างมาเพื่อเงิน บางคนก็มาเพราะถูกบังคับ หรือไม่ก็มาเพราะความกลัว กลัวในฤทธาของซาตานในความควบคุมของปรินซ์อาเธอร์ ซาตานที่ไร้ซึ่งความปราณี เขาอยู่เป็นทัพหน้าของกองทัพ ฝ่าบุกตะลุยผ่าเข้าไปยังเดมอสโดยมิเกรงกลัวสิ่งใด ใครที่อาจหาญมาขวางทาง มันผู้นั้นจะต้องพบกับความตาย เพียงโบกคทาครั้งเดียวข้าศึกก็ตายราบเป็นหน้ากลอง จะว่าไปแล้วเหล่าทหารที่มาร่วมทัพก็ทำหน้าที่แค่ประดับบารมีกองทัพให้ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามก็เท่านั้น คนส่วนมากเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพมากกว่าที่จะไปขวางคมมีด
โรเวน คิล โร และเฟรินนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ในมุมลับตาคนรอบนอกเรือนพักรับรองแขกของคนแคระดำแห่งหุบเขาหัวกะโหลกที่พากันหลีกทางให้แก่กองทัพแต่โดยดีเพราะพวกเขารู้ดีกว่าใครว่าฤทธิ์ของพ่อมดแห่งคาโนวาลนั้นร้ายกาจแค่ไหน ทั้งสี่คนได้ปลอมตัวแฝงเข้ามาเป็นทหารในกองทัพเพื่อที่จะหาโอกาสให้เฟรินได้เข้าไปหาคาโล
“คืนนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้วที่เราจะลงมือ เรือนพักที่นี่เราเคยพักมาก่อน เพราะฉะนั้นเรารู้ทางหนีทีไล่ดีกว่าพวกมันแน่ เฟริน เธอต้องใช้ทางลับนี้ขึ้นไปหาคาโลที่ชั้นบนของเรือนรับรอง ส่วนพวกฉันสามคนจะคอยดูต้นทางให้เอง” โรเวนกล่าวพลางชี้ทิศทางลงบนแผนที่ที่เขาเป็นคนวาดขึ้นมาเอง
“คิล นายจัดการยามที่เฝ้าประตูหลังเปิดทางให้เฟรินเข้าไป โร นายคอยจับตาดูยามที่เฝ้าประตูหน้าไว้ ฉันจะคอยเผ้าอาเธอร์ไว้เอง หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นให้เป่าปากส่งสัญญาณเสียง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงสัญญาณให้รีบกลับมารวมกันที่นี่ทันที ตกลงตามนี้นะ” ทุกคนพยักหน้าลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัดเพราะหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นนั่นอาจหมายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
“งั้นเราไปลุยกันเลยเถอะ!” เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คิลจัดการเปิดทางให้เธอเข้ามาในเรือนพักได้สำเร็จ เฟรินงัดวิชาตีนเบาประจำตัวหัวขโมยขึ้นมาใช้ เธอย่องอย่างเงียบกริบขึ้นไปยังชั้นบนแล้วตรงเข้าไปในห้องว่างที่อยู่ข้างห้องของคาโลแล้วออกไปยังระเบียงก่อนจะปีนไปยังระเบียงของห้องคาโลแล้วย่องเข้าไปในห้องได้สำเร็จ ภาพแรกที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างอันคุ้นเคยที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่
“คาโล..........” เธอลองเรียกคาโลดูอย่างไม่แน่ใจ
“นี่ฉันเองนะ เฟริน เดอเบอโรว์ คู่หมั้นของนายไง” พูดพลางค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าถึงตัวจู่ๆคาโลก็หมุนตัวกลับมาอย่างกระทันหันทำให้เธอผงะ ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์ขึ้น ทันใดนั้นเฟรินก็รู้สึกราวกับมีมือล่องหนมาบีบคอของเธออยู่ เธอเอามือมาจับที่คอของตนเองทันทีเพื่อพยายามจะแกะมือล่องหนนั่นออกแต่ก็ไม่เป็นผล ตัวของเธอค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นเรื่อยๆ
”คะ.....คาโล นี่ฉันเอง เฟรินไง นะ...นายจำไม่ได้หรอ” ไร้เสียงตอบรับจากคาโล เขายังคงจ้องเขม็งไปยังร่างที่บัดนี้ลอยอยู่กลางห้องตาไม่กระพริบ ใบหน้าของเฟรินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะขาดอากาศหายใจ และในวินาทีที่เธอกำลังจะหมดลมจู่ๆแรงบีบที่คอก็หายไป ร่างของเธอร่วงลงไปนอนกองบนพื้นหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรง
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่ส่งมาจากใครซักคนในสามคนนั้น เฟรินรีบพยุงตัวขึ้นแล้วพุ่งตัวหมายจะกลับออกไปทางระเบียง แต่ฉับพลันประตูก็ปิดใส่หน้าเธอดังปัง ร่างของเธอถูกแรงอัดกระแทกเข้ากับประตูก่อนที่ร่างของคาโลจะตามมาประกบติดๆ มือใหญ่บีบแขนทั้งสองข้างของเธออย่างแรงจนเจ็บไปหมด
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะคาโล ปล่อยฉันสิ!” ตามคำขอ คาโลเหวี่ยงร่างเฟรินลงกลางพื้นห้องอย่างแรง

“หึ พวกแกคิดจริงๆน่ะหรอ ว่าฉันไม่รู้ว่าพวกแกแอบปลอมตัวเข้ามาเป็นทหารในกองทัพฉันน่ะ” ปรินซ์อาเธอร์กล่าวกับโรเวน คิลและโรที่ถูกจับมัดไว้รวมกัน
“แล้วเราจะเอายังไงกับธิดาแห่งความมืดที่กำลังเข้าไปหาเจ้าชายคาโลดีครับ” ทหารคนสนิทคนหนึ่งถามขึ้น
“แกอย่าบังอาจทำอะไรเฟรินเป็นอันขาดนะ!!” คิลโพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดอยู่รอบตัว
“หึ ฉันไม่เปลืองแรงไปจัดการหรอกเพราะยังไงซะคาโลก็จัดการแทนฉันอยู่แล้ว เผลอๆอาจจะหนักกว่าให้ฉันเป็นคนจัดการเองซะอีกนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสามคนหวาดวิตกกับชะตากรรมของเฟรินไปตามๆกัน

ตอนนี้คาโลตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด หรือกำหนัด.......อะไรบางอย่างในตัวเฟรินกระตุ้นความกำหนัดในตัวเขาอย่างแรงกล้า ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวคือเขาต้องการผู้หญิงคนนี้ และเขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไหนง่ายๆแน่
ภาพคาโลที่ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาหาเธอพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อลงทีละเม็ดทำให้เฟรินรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ความทรงจำเมื่อครั้งที่คาโลเมาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆจนทำให้เธอตระหนก เฟรินกระเถิบตัวหนีโดยอัตโนมัติ เธอถอยหนีไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีหลังก็ติดกับผนังห้องเสียแล้ว เธอหันไปมองกำแพงอย่างตกใจแต่ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อหันกลับมาพบกับใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามาใกล้เธอจนจมูกชนกัน วงแขนแกร่งกักตัวเธอไว้ทั้งสองด้านจนไม่สามารถหนีไปไหนได้ จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนจะขบเม้มลงไปแรงๆจนทำให้เฟรินเจ็บจนต้องเผลอส่งเสียงร้องออกมา
“คาโลหยุดนะ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” เฟรินพยายามผลักร่างหนาให้ออกไปพ้นจากตัวแต่คาโลกลับยึดข้อมือทั้งสองของเธอไว้แล้วกดเข้ากับกำแพง ริมฝีปากหยักฉกลงมาช่วงชิมความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มด้วยความหิวกระหาย รสจูบอันหยาบโลนทำให้เฟรินยิ่งตระหนกมากกว่าเดิม เมื่อมือถูกพันธนาการไว้เธอจึงใช้เท้าที่เป็นอิสระยันเข้าให้ที่กลางอกจนคาโลกระเด็นไปข้างๆ เธอรีบใช้โอกาสนี้วิ่งตรงไปยังประตูห้องแต่ความไวของหัวขโมยมีหรือจะสู้ความเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของซาตาน คาโลตะครุบตัวเธอไว้ก่อนจะจับกดลงบนพื้นแล้วตามมาคร่อมทับทันที ความพยายามที่จะหนีของเฟรินทำให้คาโลโมโหขึ้นมา เขากระชากเสื้อของเธอออกอย่างแรงจนขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะก้มลงขบกัดยอดอกสีทับทับทิมอย่างแรงจนเธอน้ำตาไหล มือแกร่งก็ไม่ปล่อยให้ว่างจัดการกับเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของเธอจนหมดสิ้นก่อนจะส่งนิ้วหยาบเข้าไปทักทายกับส่วนล่างอย่างช่ำชอง ส่วนมืออีกข้างก็บีบขยำทรวงอกอิ่มอย่างเมามัน
เมื่อหยอกล้อกับร่างกายของเธอจนพอใจแล้วคาโลก็จัดการถอดเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของตนออกจนหมดก่อนจะจับแก่นกลางกายที่แข็งขืนเต็มที่ถูไถเข้ากับปากทางรักของหญิงสาว
“ฮรึก คาโล อย่าทำอย่างนี้เลยนะฉันขอร้อง สุดท้ายคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือตัวนายเองนะ” เฟรินกล่าวทั้งน้ำตา มือเรียวดันอยู่ที่หน้าท้องแกร่งแต่คาโลก็ไม่ได้สนใจเธอแต่อย่างใด มือหนาจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอรวบขึ้นไว้เหนือหัวก่อนจะก้มลงประกบจูบปิดปากแล้วดันส่วนแข็งขืนเข้าไปทีเดียวจนสุด เฟรินสะดุ้งเฮือกผวารับสิ่งใหญ่โตที่รุกล้ำเข้ามาในกายเธออย่างกระทันหัน คาโลขยับสะโพกทันทีอย่างคนเอาแต่ใจโดยไม่สนใจว่าเธอจะพร้อมหรือไม่ ปลายเท้าเรียวจิกลงกับพื้นอย่างพยายามเกร็งต้านความเจ็บ เปลือกตาบางปิดลงอย่างจำใจปล่อยให้น้ำตารินไหลลงมาไม่ขาดสาย ถึงแม้ปากของเธอจะโดนประกบปิดอยู่ด้วยปากหยักแต่เสียงสะอื้นปนเสียงครางก็ยังหลุดรอดออกมาเป็นระยะเพราะความรุนแรงของคนบนร่างที่โถมเข้าหาเธออย่างไม่ลดละราวกับราชสีห์กระหายเลือดที่หิวโซมาหลายวัน
“ อึก อ้ะ ฉะ ฉันเจ็บ......” คาโลผละจูบออกแล้ว มือแกร่งปล่อยให้มือเธอเป็นอิสระแต่เปลี่ยนมาจับขาของเธอให้แยกออกกว้างแทน เขารั้งสะโพกอิ่มกระแทกเข้าหาตัวอย่างแรงทำให้แก่นกายเข้าไปได้ลึกจนเฟรินรู้สึกจุกไปหมด มือเรียวที่เพิ่งเป็นอิสระยื่นไปดันหน้าท้องแกร่งเอาไว้หวังจะช่วยให้สะโพกแกร่งผ่อนแรงลงได้บ้างแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคาโลยังคงกระแทกกระทั้นเข้าหาเธออย่างรุนแรงแถมยังเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าใกล้จะปลดปล่อยเต็มทีจนเฟรินสั่นคลอนไปทั้งร่าง มือเรียวจึงจำต้องเปลี่ยนมาจับอยู่ที่แขนแกร่งแทนเพื่อเป็นหลักยึด
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา คาโลลลลลลล” มือเรียวจิกเล็บลงแขนแขงแกร่งก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเมื่อคาโลเร่งความเร็วจนถึงจุดสูงสุดแต่จู่ๆเขาก็หยุดกระทันหันแล้วถอดถอนตัวตนออกจากตัวเธอ มือแกร่งดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะจิกลงบนกลุ่มผมทำให้เธอเชิดหน้าขึ้น เขาจ่อตัวตนเข้าที่ริมฝีปากอิ่มจึงทำให้เธอรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร เฟรินพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่คาโลกลับใช้มือบีบคางของเธอไว้แล้วบังคับให้เธอเปิดปากออกก่อนจะดันตัวตนเข้าไปจนกระแทกกับเพดานปาก มือแกร่งจับหัวของเธอให้ขยับเร็วๆก่อนที่เขาจะปลดปล่อยเข้าไปในปากเธอจนล้น เฟรินเผลอกลืนน้ำรักบางส่วนเข้าไปด้วยความตกใจก่อนจะสำลักบางส่วนออกมาทำให้มันหยดเลอะเทอะไปทั่วตัว
ภาพปากอิ่มบวมแดงและร่างเปลือยเปล่าขาวเนียนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักของเขาเองกระตุ้นให้ไฟราคะในตัวลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว คาโลอุ้มเฟรินขึ้นมาจากพื้นก่อนจะโยนลงบนเตียงกว้างอย่างไม่ปราณี เขาชันเข่าลงบนเตียงก่อนจะพลิกร่างบางให้คว่ำหน้าลงแล้วดึงสะโพกอิ่มเข้าหาตัว แก่นกลางกายที่แข็งชันขึ้นอีกครั้งสอดรับเข้าพอดีกับสะโพกอิ่มที่ถูกรั้งเข้ามาแล้วเริ่มกระแทกอย่างรัวเร็วทันทีทำให้เฟรินต้องรีบเอามือจับหัวเตียงเอาไว้เพื่อประคองตัว มือแกร่งบีบขยำแก้มก้นมนแล้วช่วยเน้นย้ำให้ตัวตนของเขาเข้าไปได้ลึกมากขึ้นทุกครั้ง มือแกร่งดันสะโพกอิ่มออกจนเกือบสุดความยาวแกนกายของเขาแล้วดึงรั้งกลับมาให้กระแทกหน้าขาอย่างแรง เฟรินสะดุ้งเฮือกเมื่อตัวตนของคาโลกระแทกตรงจุดสำคัญพอดี คาโลยังคงทำแบบเดิมซ้ำเรื่อยๆแต่เร่งความเร็วและความแรงขึ้นจนเฟรินทนไม่ไหว ร่างบางกระตุกเกร็งสองสามครั้งก่อนจะปล่อยน้ำใสๆให้ไหลออกมาจากช่องทางรักจนเปียกที่นอนไปหมด มือเรียวหมดแรงที่จะยึดเกาะกับหัวเตียงทำให้ร่างบางหล่นลงไปฟุบกับหมอน แต่สะโพกอิ่มยังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ถึงแม้เธอจะถึงจุดสูงสุดไปแล้วแต่คาโลยังคงไม่ได้ปลดปล่อย เขารั้งสะโพกอิ่มเอาไว้แล้วกระแทกรัวแรงกว่าเดิมจนเฟรินต้องจิกหมอนเอาไว้แน่น เพราะเธอปลดปล่อยไปแล้วทำให้ตอนนี้หลงเหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ ยิ่งคาโลกระแทกเข้ามาลึกเท่าไหร่เธอก็ยิ่งจุกจนน้ำตาไหล เฟรินทำได้เพียงซบหน้าเข้ากับหมอนเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ความอุ่นร้อนที่วาบขึ้นในช่องท้องทำให้เธอรู้ว่าคาโลปลดปล่อยแล้ว เธอค่อยๆคลายมือที่จิกหมอนออกด้วยความโล่งใจแต่แล้วก็ต้องจิกลงไปใหม่เมื่อเขายังไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ความต้องการของเขามีมากมายแค่ไหนแต่ดูเหมือนทันทีที่ปลดปล่อยออกไปแก่นกายใหญ่ก็แข็งขืนขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เธอได้แต่บอกตัวเองว่าอีกไม่นานมันก็จะจบลง อีกไม่นาน น้ำตาของเธอจะได้หยุดไหลเสียที สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่หลับตาลงแล้วหวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง คาโลจะกลับมาเป็นคนเดิม.............



มาลงล้าววววว กรี๊ดดดดด ในที่สุดดด ตอนที่คิดพลอตไว้ชาติกว่าก็แต่งเสร็จซักที คือชอบมาก ใครไม่ชอบเราไม่รู้แต่เราชอบ 555555555555555555555555555555555555

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 3 : เบื้องหลัง

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A          


สัมผัสเปียกๆที่บริเวณใบหน้าทำให้สาวน้อยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงรู้สึกตัว เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบกับใบหน้าหวานของเรนอนที่เป็นคนเช็ดตัวให้เธออยู่
"อ้าว ตื่นแล้วหรอจ๊ะเฟริน"
"ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วนี่กี่โมงแล้ว" เฟรินมองไปรอบๆก่อนจะพบว่าตนอยู่ในห้องของตนเองกับเรนอนแทนที่จะเป็นห้องของคาโล
"ก็คาโลอุ้มมาส่งน่ะสิ แล้วนี่ก็สิบเอ็ดโมงแล้วจ้ะ"
"อะไรนะ! โอ๊ย!!" คำตอบของเรนอนทำเอาคนเพิ่งตื่นตาลุกโพลงกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันทีอย่างไม่เจียมตัว ความเจ็จากช่วงท้องแล่นริ้วขึ้นมาจนทำเอาทรงตัวแทบไม่อยู่ล้มลงมากองอยู่บนเตียงตามเดิม
"ใจเย็นๆสิคะคุณเฟริน คุณเฟรินเจ็บอยู่จะรีบลุกขึ้นมาทำไมกัน"
"ก็จะไม่ให้รีบได้ยังไงเล่า ก็วันนี้มีเรียนกับอาจารย์แม่มดวิงกี้สุดโหด ฉันขาดเรียนไปดื้อๆแบบนี้ มีหวังโดนทำโทษสาปให้เป็นตัวเฟเรตแน่เลย"
"อ่อ ก็นึกว่าตกอกตกใจเรื่องอะไร ถ้าเรื่องอาจารย์แม่มดวิงกี้คุณเฟรินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คาโลจัดการลาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วอีกอย่างทุกคนก็รู้กันทั้งนั้นว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณเฟริน อาจารย์ท่านคงจะเข้าใจแหละค่ะ"
"ห้ะ รู้เรื่องเมื่อคืนงั้นหรอ?" เฟรินถามขึ้นด้วยความตกใจเพราะคิดว่าเรื่องเมื่อคืนหมายถึงเรื่องเธอกับคาโล........
"ก็ใช่น่ะสิคะ เรื่องที่คุณเฟรินโดนนายคนเดินหมากจากปราสาทขุนนางทำร้ายน่ะ เค้ารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ นายนั่นจะต้องถูกลงโทษแน่นอน เรื่องนี้ท่านเลโมธีรับทราบแล้ว และกำลังดำเนินการตัดสินโทษอยู่"
"อ่อ........งั้นหรอ" โล่งไปที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องไอ้บ้ามาร์คัสนั่นนี่เอง
"ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูเรียกให้สาวน้อยทั้งสองในห้องหันไปสนใจมอง
"เป็นไงบ้างล่ะแกน่ะ ยังไม่ตายใช่มั้ย" คีล ฟีลมัสเพื่อนรักนักฆ่าแห่งซาเรสทักขึ้นให้คนป่วยรู้สึกเหมือนเท้าจะกระตุกหันไปแยกเขี้ยววับให้
"นอกจากจะยังไม่ตายแล้วยังมีแรงมากพอจะกระทืบคนด้วยนะ อยากลองมั้ยล่ะ?" พูดไม่ทันขาดคำดีก็ทำท่าจะยันโครมเข้าให้ที่หน้าอกเพื่อนรัก แต่แค่ยกขาขึ้นก็รู้สึกเจ็บร้าวขึ้นมาทันทีจนต้องร้องออกมาเสียงดัง
"โอ๊ย!!!"
"เฟริน!" เสียงคาโลร้องเรียกเธออย่างตกใจเมื่อเข้ามาได้ยินเฟรินร้องเสียงดังพอดี เขารีบปราดเข้ามาประคองเธอไว้อย่างเป็นห่วงจนเพื่อนๆต้องแอบกลั้นยิ้ม
"เป็นอะไรมากรึเปล่า เจ็บมากมั้ย"
"เอ่อ.....ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ" เอ่ยตอบอย่างเขินๆแล้วพยายามหลบนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง
"เห้ออออ เราไปกินข้าวกันดีกว่าเรนอน ตอนนี้เฟรินคงไม่ต้องการเราแล้วล่ะ มีหมอคอยดูแลแบบส่วนตัวขนาดนี้ คงจะหายเร็วกว่าให้เราดูแลเป็นสิบเท่า เอ๊ะ หรือจะหายช้าเพราะมัวแต่รักษาด้วยท่าแปลกๆกันนะ...."
"ไอ้คิล!! หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ จะไปกินข้าวกินหญ้าที่ไหนก็ไปเลยไป๊!!" โวยวายพลางโยนหมอนเข้าใส่เพื่อนไม่ยั้งจนหลบแทบไม่ทัน คิลหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะโอบไหล่เรนอนแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่หัวขโมยขี้เขินให้นอนแก้มแดงเป็นลูกตำลึงอยู่กับเจ้าชายน้ำแข็งที่มองมาด้วยสายตาพราวระยับพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ยิ้มบ้าอะไรของนายห้ะ!"
"ก็ตอนเธอเขิน มันน่ารักดีนี่" กระซิบแผ่วเบาพร้อมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกัน การกระทำของคาโลยิ่งทำให้แก้มที่แดงอยู่แล้วของเฟรินแดงยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานเสหลบไปด้านข้างเพราะเขินอายเกินกว่าจะทนมองหน้าของคาโลไหวยิ่งทำให้คนขี้แกล้งได้ใจอยากแกล้งมากกว่าเดิม
"ว่าแต่......คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง มามะมาให้หมอตรวจอาการหน่อย จะได้รู้ว่าต้องรักษาด้วย ท่าไหน" กล่าวพลางจมูกคมก็เริ่มก้มลงซุกไซร้ไปทั่วซอกคอขาวที่บัดนี้มีรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วจากฝีมือของเขาเองเมื่อคืนนี้ ปากหยักพรมจูบแผ่วเบาทับรอยแต่ละรอยเพื่อตอกย้ำแสดงความเป็นเจ้าของจนเฟรินเริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับเขาด้วย แต่แล้วเธอก็ได้สติเมื่อมือใหญ่เริ่มปลดกระดุมเสื้อนอนตัวบางของเธออย่างรวดเร็ว เฟรินรีบดันหน้าอกของคาโลออกทันที
"ไม่เอานะคาโลลลล ฉันระบมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย" กล่าวด้วยเสียงออดอ้อนพร้อมทำหน้าดุๆอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าจะทำให้คาโลกลัวได้ แต่ตรงกันข้ามนอกจากมันจะไม่ได้น่ากลัวแล้วเขากลับคิดว่ามันน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวจนอยากจะจับมาฟัดให้หนำใจอีกต่างหาก
"ก็ใครใช้ให้เธอมายั่วฉันก่อนเองล่ะ" กล่าวพลางก้มลงคลอเคลียไม่ห่างจากริมฝีปากอวบอิ่มที่ตอนนี้บวมช้ำนิดหน่อยจากสมรภูมิรักอันดุเดือดเมื่อคืนทำให้เฟรินต้องดันใบหน้าคาโลให้ห่างจากตัวอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
"ฉันทำไปก็เพราะฤทธิ์ยาทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจทำซักหน่อย"
"นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจ ยังทำฉันคลั่งได้ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าตั้งใจจะขนาดไหนกันนะ......." ริมฝีปากหยักก้มลงประทับจูบแผ่วเบาทำให้เฟรินต้องหลับตาพริ้มรับจูบแต่โดยดี
"เธอรู้มั้ย...."ผละออกมาพูดก่อนจะประกบจูบลงไปอีกหนึ่งครั้ง
"ไม่ว่าเธอจะทำอะไร....." อีกหนึ่งครั้ง......
"มันก็เป็นการยั่วฉันทั้งนั้นแหละ....." และอีกครั้ง......
"ไม่ว่าจะตอนที่เธอยิ้ม" ปากหยักเปลี่ยนมาพรมจูบที่บริเวณสันกราม
"ตอนที่เธอโกรธ" ไล้ขึ้นไปเรื่อยๆยังขมับ
"หรือตอนที่เธอครางเรียกชื่อฉัน" กระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูด้วยเสียงแหบพร่าทำเอาเฟรินขนลุกซู่ไปหมด 
"รู้มั้ยว่ามันทำให้ฉันอยากขย้ำเธอขนาดไหน" คาโลผละออกจากตัวของเฟรินแล้วแต่สายตาที่มองมายังเธอราวกับจะกลืนกินไปทั้งตัวนั้นทำให้เธอถึงกับต้องแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก 
"แต่ฉันก็ต้องรู้จักหักห้ามใจตัวเองถ้าไม่อยากให้เธอระบมไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ได้เวลากินข้าวแล้วล่ะ จะได้กินยา" กล่าวพลางหันไปจัดการกับถาดอาหารที่เขาถือมาให้เฟรินตั้งแต่ตอนแรกทำให้เฟรินถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว

"อิ่มแล้วล่ะ" เฟรินกล่าวขึ้นทำให้คาโลที่กำลังจะตักข้าวป้อนเธออีกคำต้องชะงักมือลง
"อิ่มได้ยังไง เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเองนะ" ปกติเฟรินกินจุอย่างกับอะไรดี ครั้งนี้อาการคงหนักจริงๆถึงกับกินข้าวไม่ลงมันทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
"ก็......ก็คนมันอิ่มแล้วนี่จะให้ทำยังไงเล่า" จริงๆแล้วเธอไม่ได้อิ่มหรอก แต่เพราะคาโลที่เอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบ มองตามปากทุกครั้งที่เคี้ยวขนาดนี้ ใครมันจะไปกินลงกัน
"ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็กินยานี่ซะ" คาโลยื่นถ้วยใส่ยามาให้พร้อมกับน้ำเปล่าเต็มแก้ว เฟรินจึงรับมากินแต่โดยดีก่อนจะยื่นแก้วน้ำคืนให้คาโล
"กินยาเสร็จแล้วก็พักผ่อนซะ ฉันต้องรีบไปเรียนต่อแล้ว" กล่าวพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่เฟรินกลับรั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อนทำให้คาโลต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษ? เรื่องอะไร?"
"ก็เรื่องที่ฉันไม่ยอมเชื่อนายแต่แรกไง ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันยอมฟังนายดีๆก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
"ไม่หรอก แต่สัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้มั้ย ว่าจะไม่ดื้อกับฉันอีก" กล่าวพลางลูบหัวทุยสวยของเฟรินเบาๆ เฟรินยกมือขึ้นจับมือที่กำลังลูบหัวเธออยู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างแข็งขัน
"อื้อ! ได้เลย ต่อไปนี้เฟริน เดอเบอโรว์คนนี้จะเป็นเด็กดี ไม่ว่าคาโลจะสั่งให้ทำอะไรก็จะยอมทำตามทุกอย่างเลย!" กล่าวเสียงสดใสพร้อมส่งยิ้มให้จนตาหยี
"จะยอมทำตามทุกอย่างจริงๆหรอ?" กล่าวเสียงเจ้าเล่ห์แล้วเลื่อนมือที่อยู่บนหัวเฟรินลงมาเชยปลายคางมนแทน ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนเฟรินเริ่มหายใจติดขัด เธอรีบดันตัวคาโลออกแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทันที
"นายไปเรียนได้แล้วไป บอกเองไม่ใช่หรอว่าถ้ากินยาเสร็จแล้วให้ฉันรีบพักผ่อนน่ะ"
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ งั้นฉันไปล่ะ" พูดกลั้วหัวเราะแล้วจู่ๆก็จู่โจมจุ๊บเข้าที่แก้มนวลแล้วเดินออกไปพร้อมหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีทิ้งให้คนโดนขโมยหอมแก้มนอนบิดตัวเขินไปมาอยู่คนเดียว
"ฮึ่ย! กะจะให้เขินจนตัวระเบิดตายไปเลยรึไงห้ะ อิตาเจ้าชายน้ำแข็งงี่เง่า!"


"คิง ดีหก รุกฆาต!" สิ้นเสียงของเฟรินผู้เดินหมากกระดานเกียรติยศ คาโลในฐานะคิงก็หายตัวไปปรากฏในเขตแดนดีหกทันที คทาหัวลูกแก้วสีดำปักลงบนพื้นดินก่อนจะเริ่มร่ายมนตร์ทำให้พายุหิมะลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น พายุเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทางคิงของปราสาทขุนนาง ทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัวถูกดูดหายเข้าไปในพายุทันที
สัญญาณธงที่ยกขึ้นยอมแพ้จากผู้เดินหมากของฝ่ายปราสาทขุนนางทำให้คาโลหยุดร่ายเวทย์ทันที ร่างขาวซีดที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งของคิงปราสาทขุนนางตกลงบนพื้นดินก่อนจะอันตรธานหายไปด้วยเวทย์ของผู้ใช้เวทย์เพื่อนำตัวไปรักษา เสียงเฮกึกก้องดังลั่นขึ้นประกาศชัยชนะของป้อมอัศวินเรียกร้อยยิ้มขึ้นประดับบนใบหน้าของคิงผู้กำชัย แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามากอดอย่างแรงจนรู้สึกจุกหน่อยๆ
"เย้ๆๆๆๆๆ เราชนะแล้ว เราชนะแล้วววววว" กล่าวพร้อมกับกระโดดขึ้นลงทั้งๆที่ยังกอดคาโลไว้แน่นทำให้คาโลต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะโอบแขนรัดร่างเล็กไว้ในอ้อมอกให้แน่นขึ้น
"ยินดีด้วยนะที่เอาชนะปราสาทขุนนางได้สำเร็จ.........เพราะโชคช่วย" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่ต้องผละออกจากกันแล้วหันไปหาต้นตอของเสียงก็ปรากฏว่าเป็นปรินซ์อาเธอร์ ออฟซาเรส หัวหน้าปราสาทขุนนางนั่นเอง
"ท่านหมายความว่ายังไงที่ว่าโชคช่วย" เฟรินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
"เอ๊ะ.......หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องเป็น 'เจ้าชาย' ต่างหากที่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้" กล่าวพร้อมรอยยิ้มยียวนชวนให้คิ้วกระตุก
"ท่านจะพูดอะไรกันแน่ปรินซ์อาเธอร์" เฟรินเริ่มจะควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่โพล่งถามออกไปเสียงแข็ง
"ก็แค่อยากจะมาเตือน เพราะคราวหน้า เจ้าชายอาจจะขี่ม้าขาวมาช่วยไม่ทันก็ได้นะ" กล่าวจบก็แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วเดินหันหลังกลับไปทันที ทิ้งให้เฟรินที่หัวเสียอย่างหนักแทบพุ่งเข้าไปต่อยแต่ยังดีที่มีคาโลรั้งเอาไว้เสียก่อน
"ปล่อยนะ ฉันจะไปเอาเลือดปากมันออก!"
"ใจเย็นน่าเฟริน หมอนั่นอาจจะแค่แพ้แล้วพาลเลยมายุให้แกหัวเสียเล่นๆ ถ้าแกขืนทำร้ายมันขึ้นมาจริงๆอาจจะโดนปรับแพ้ก็ได้นะ" คิลที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆมาตลอดรีบเข้ามาช่วยคาโลปรามเฟรินไว้อีกแรง
"แต่ฉันสัมผัสได้ว่า อาเธอร์ไม่ได้แค่พูดยั่วโมโหเล่นๆนะ" คาโลเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนต้องหันไปสนใจ
"นายหมายความว่า......."
"เขาอาจจะหมายความตามที่พูดจริงๆ มาร์คัสเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่ง ต่อไปเขาอาจจะปล่อยไพ่อะไรออกมาจัดการกับเฟรินอีกก็ได้ ใครจะรู้
"อะไรกัน เขาสั่งให้มาร์คัสมาทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นกับฉันเพียงแค่ต้องการให้ปราสาทขุนนางชนะหมากกระดานเกียรติยศหรอ?"
"อาจจะใช่ หรือไม่มันก็อาจจะมีอะไรที่มากกว่าหมากกระดาษเกียรติยศก็ได้........."


ห้องนั่งเล่นรวมของป้อมอัศวินอึกทึกไปด้วยเสียงโหวกเหวกของนักเรียนปีสามที่กำลังฉลองชัยชนะกันอย่างสนุกสนาน อาหารมากมายถูกเหมามาจากโรงอาหารดรากอน แถมครี้ด ธันเดอร์ยังแอบติดสินบนแม่ครัวให้ซื้อสุราและของมึนเมาทั้งหลายแหล่มาให้อีกต่างหาก ดังนั้นสภาพของทุกคนในตอนนี้จึงเละเทะไม่ต่างอะไรกับสภาพของห้องนั่งเล่นเลย
"คุณคิลพอเถอะค่ะ คุณคิลเมาแล้วนะ" เรนอนกล่าวเป็นรอบที่สามพร้อมกับยื้อแก้วเหล้าของคิลไว้
"ใครบอกกัน ฉันยังม่ายมาวววววววว" คิลพูดด้วยเสียงยานคางที่ฟังยังไงก็เป็นเสียงของคนเมาทำเอาเรนอนเหนื่อยใจ
"ยังจะบอกว่าไม่เมาอีก หน้าแดงไปหมดแล้วเห็นมั้ย" กล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดซึมบนใบหน้าของคิลให้
"ก็ได้ๆ พอแล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณเรนอนพาฉันไปพักที เริ่มรู้สึกมึนๆหัวแล้วเหมือนกัน" พูดจบก็วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะทำให้เรนอนโล่งใจเป็นอย่างมากจึงรีบพยุงให้คิลลุกขึ้นยืนทันที ทุกการกระทำของทั้งคู่ล้วนอยู่ในสายตาอันเฉียบแหลมขอหัวขโมยอย่างเฟรินทั้งสิ้น
"จะไปนอนกันแล้วหรอ" เฟรินถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินผ่านหน้าเธอพอดี
"ใช่ค่ะคุณเฟริน คุณคิลเมามากแล้ว" คำตอบของเรนอนทำเอาเฟรินประหลาดใจไม่น้อย คนอย่างไอ้คิลเนี่ยนะเมามาก ปกติมันคอแข็งหยั่งกะอะไรดี ไม่มีทางที่กินไปแค่นั้นแล้วจะเมามากแน่ๆ แต่แล้วความสงสัยก็คลี่คลายลงเมื่อไอคิลมันกำลังทำปากขมุบขมิบส่งสัญญาณมาให้เธอยิกๆ เธอจึงถึงบางอ้อรีบพยักหน้าเออออให้เรนอน เรนอนจึงพยุงคิลเดินต่อไป แถมไอคิลยังหันกลับมาพูดขอบคุณแบบไม่มีเสียงแล้วขยิบตาให้เธออีกต่างหาก
"สงสัยคืนนี้นายจะไม่ได้กลับห้องซะแล้วล่ะคาโล" พูดพลางหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้คาโล
"หืม ทำไมล่ะ? หรือว่า........เธออยากให้ฉันอยู่กับเธอทั้งคืนหรอ?" คำกล่าวที่แหวกไปคนละทางทำเอาเฟรินที่กำลังยกเหล้าขึ้นจิบสำลักออกมาแทบไม่ทัน
"จะบ้าหรอ! เป็นเพราะไอ้คิลต่างหาก! มันแกล้งทำเป็นเมาแล้วให้คุณเรนอนไปส่งที่ห้อง นายคิดว่ามันจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ"
"อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคืนนี้ฉันจะกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องของเธอก็จะว่างด้วยสินะ....." กล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มของเธอก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนทำเอาเธอเริ่มหายใจติดขัด และด้วยความเขินอายเธอจึงรีบผลักอกของคาโลให้ออกห่างจากตัวก่อนจะรีบพูดแก้เขินออกมาเสียงดัง
"นายคิดบ้าอะไรของนายอยู่เนี่ย!"
"อ้าว ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ฉันกลับห้องไม่ได้ แล้วห้องเธอก็ว่าง ถ้าไม่ให้ฉันไปนอนห้องเธอจะให้ฉันไปนอนที่ไหนล่ะ หรือจะให้ฉันนอนอยู่กับกองขยะในห้องนั่งเล่นรวมนี่หรอ?"
"ใครจะไปทำอย่างนั้นกับคู่หมั้นตัวเองลงกัน!"
"นั่นไง เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นคืนนี้ฉันก็ต้องไปนอนกับเธอก็ถูกแล้ว" กล่าวจบก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยให้ทำเอาเฟรินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สาบานสิว่าจะแค่นอนเฉยๆน่ะ โอ๊ย พวกผู้ชายนี่มันหื่นเหมือนกันหมดเลยรึไงนะ! อย่าให้กลับไปเป็นผู้ชายบ้างแล้วกัน!!!!!!!

เรนอนพยุงคิลมาจนถึงห้องของเขา เธอพยายามเปิดประตูด้วยมือข้างเดียวก่อนจะพยุงคิลเข้าไปในห้องอย่างทุลักทุเลโดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าคิลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบคอเธออยู่ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เรนอนพยุงเขาไปจนถึงเตียงก่อนจะพยายามประคองให้คิลนอนลงไปบนเตียงแต่เพราะทรงตัวไม่ดีหรือเพราะแรงฉุดก็ไม่อาจรู้ได้ทำให้ทั้งคู่ล้มลงบนเตียงอย่างแรง แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆคิลก็ผลักเธอให้มาอยู่ใต้ร่างของเขาแล้วกักเธอเอาไว้ในวงแขน นัยน์ตาสีม่วงสวยที่จ้องมายังเธอนั้นไม่เหมือนคนเมาเลยซักนิดแต่มันเหมือนกันคนที่กำลัง.......หิว มากกว่า
"คะ....คุณคิล...จะทำอะไรคะ" ถามออกมาด้วยเสียงสั่นๆอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะสายตาที่เปลี่ยนไปของคนบนร่างมันทำให้เธอขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก 
"ฉันรักเธอนะ เรนอน....." กล่าวพลางค่อยๆก้มหน้าลงมาหาทำเอาเรนอนต้องดันอกของเขาเอาไว้ทันที
"คุณคิลต้องเมามากแล้วแน่ๆ ปล่อยฉันเถอะค่ะ คุณคิลจะได้พักผ่อน"
"ฉันไม่ได้เมา" เสียงที่หนักแน่นของคิลทำให้เรนอนรู้สึกแปลกใจมากเพราะมันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เมาจริงๆอย่างที่พูด ถ้าอย่างนั้นแล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?
"ฉันแค่อยากให้คุณเรนอนมาส่ง เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนบ้าง........"
"ฉันรักคุณเรนอน แล้วฉันก็ต้องการคุณเรนอน......"
"เป็นของฉันเถอะนะ....." กล่าวจบก็ค่อยๆก้มลงช้าๆเพื่อรอดูว่าเรนอนจะมีท่าทีปฏิเสธหรือไม่ คิลใจเต้นถี่ขึ้นเมื่อเห็นว่าเรนอนค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสจากเขา เขาจึงประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากเรียวสวยอย่างแผ่วเบาราวกลับมันเป็นกลีบกุหลาบที่แสนบอบบาง จูบอันอ่อนหวานเริ่มผลันแปรเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆตามห้วงอารมณ์ของคนทั้งคู่ที่พุ่งขึ้นสูง คืนนี้ทั้งคู่จะเติมเต็มความรักให้แก่กันและเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์............

หอคอยที่สูงที่สุดของปราสาทขุนนางวันนี้ไร้ซึ่งผู้คน ประกอบกับท้องฟ้าที่มืดมิดไร้ดาวเพราะเป็นคืนเดือนมืดยิ่งทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบยิ่งขึ้นไปอีก แตกต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาอย่างลิบลับ เขาทำงานไม่สำเร็จ ท่านพ่อต้องไม่ไว้ใจให้เขาดำเนินการด้วยตัวเองแล้วแน่ๆ
เสียงรอยเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปมองก่อนจะพบกับบุคคลที่เขากำลังรอพบอยู่ ทหารส่งข่าวทำความเคารพเขาก่อนจะส่งม้วนกระดาษนำสาส์นจากคิงแห่งซาเรส พ่อของเขามาให้ เขารับมาถือไว้ในมือก่อนจะเปิดอ่านด้วยความกังวล

“แกทำงานพลาด ฉันผิดหวังในตัวแกมาก” แค่ประโยคแรกก็ทำเอาเขาใจเสียแล้ว
“แต่เรื่องที่มันพลาดไปแล้วในอดีตเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง” ประโยคต่อมาทำให้เขาใจชื้นขึ้นเป็นกองจึงรีบอ่านต่อทันที
“เป้าหมายของเรามีความแข็งแกร่งมากก็จริงแต่มันก็มีจุดอ่อนที่สำคัญมากเหมือนกันอย่างที่แกก็รู้ดีถึงได้พยายามใช้จุดอ่อนนั่นจัดการกับมันแต่ก็ล้มเหลวเพราะแผนการที่หละหลวมมากเกินไป แต่ครั้งนี้เราจะต้องทำสำเร็จเพราะทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้วเหลือเพียงรอให้ถึงเวลาที่จะลงมือเท่านั้น”
“เวลาที่ว่าคืองานแต่งตั้งเจ้าชายรัชทายาทของคาโนวาล มันเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงตัวคาโลและจัดการกับเขาได้ง่ายที่สุด ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับงานแต่งตั้งจะเป็นช่องโหว่อย่างดีให้เราลงมือได้ แต่เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด  เพราะครั้งนี้หากเราพลาดนั่นอาจจะหมายถึงชีวิตและชะตากรรมของประเทศเราที่จะต้องตกอยู่ในอันตรายแทน”
“งานนี้หากเจ้าทำสำเร็จนอกจากซาเรสที่เจ้าจะได้ไปครอบครองแล้ว ทั่วทั้งเอเดน หรือแม้แต่เดมอสก็ต้องยอมมาสยบแทบเท้าเจ้า ฉะนั้นทำให้ดี ห้ามพลาดเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
เนื้อความในจดหมายจบลงแต่เพียงเท่านี้ มันจุดประกายความหวังให้โชติช่วงขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะทำให้แน่ใจว่าท่านพ่อจะไม่ผิดหวังในตัวเขาเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เขาทำการจุดไฟเผาม้วนกระดาษจนไหม้เกือบหมดก่อนจะทิ้งเศษกระดาษที่เหลือลงบนพื้นแล้วขยี้ให้เป็นผุยผงด้วยส้นรองเท้า
“ฝากกลับไปบอกท่านพ่อด้วยว่าวางใจได้ ครั้งนี้งานต้องสำเร็จแน่นอน ฉันสาบานด้วยเกียรติของปรินซ์อาเธอร์ บริสตัน เจ้าชายใจสิงห์แห่งซาเรสเลย!


ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย พอดีเพิ่งจะสอบเสร็จก็รีบมาอัพให้ได้อ่านกันเลย ต่อไปเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะคะ จะมาอัพให้อ่านต่อกันเร็วๆนี้แน่นอน สุดท้ายนี้อย่าลืมคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นหรือให้กำลังใจกันนะคะ ^^