วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

หัวขโมยแห่งบารามอสตอนพิเศษภาค 2 ตอนที่ 5 : จ้าวปีศาจแห่งเดมอส ปะทะ พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @Bam_Bam1A


            เฟรินค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า สิ่งแรกที่เธอรับรู้คือเธออยู่ในพาหนะบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ สิ่งต่อมาที่รับรู้คือความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง แรงกระแทกจากพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นไปอีก เฟรินพยายามจะขยับตัวไปที่หน้าต่างแต่เธอก็พบว่ามือและเท้าของเธอถูกมัดเอาไว้ทำให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้
            เกวียนเทียมม้าค่อยๆผ่อนความเร็วลงก่อนจะหยุดนิ่งสนิท เฟรินรับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอมากเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าเกวียนของเธอพอดีก่อนที่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกจะเปิดผ้าม่านขึ้นส่งผลให้แสงสว่างจ้าส่องผ่านเข้ามากระทบตาจนเธอต้องรีบหลับตาปี๋
            เธอกระพริบตาพี่ๆเพื่อปรับให้ชินกับแสงก่อนจะมองเห็นใบหน้าของผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าที่กำลังส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยมาให้อยู่
            “ว่ายังไง ธิดาแห่งความมืด เมื่อคืนฮันนีมูนกับคู่หมั้นเป็นยังไงบ้าง ถึงใจดีมั้ยล่ะ?” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันที่ทำเอาเฟรินหน้าชาวาบ ความโกรธทำให้เธอพยายามพุ่งตัวเข้าหาเขา แต่เพียงแค่ขยับความปวดร้าวก็แล่นริ้วขึ้นมาจนต้องลงไปนอนกองกับพื้นเกวียนตามเดิม นั่นยิ่งทำให้อาเธอร์หัวเราะขบขันดังยิ่งกว่าเดิม
            “แกต้องการอะไรจากฉัน จับตัวฉันมาทำไม ทำไมไม่ฆ่าฉันให้มันจบๆไปซะ!
            “ถ้าฆ่าเธอแล้วฉันจะเอาอะไรไปต่อรองกับจ้าวปีศาจพ่อของเธอล่ะ? อีกอย่าง เธอยังมีประโยชน์เกินกว่าจะฆ่าทิ้งเสียเฉยๆ อย่างน้อยเธอก็ทำให้คาโลอารมณ์ดีขึ้นได้ล่ะนะ หึหึหึ” คำพูดหยาบโลนของเขาทำให้เธอโกรธจนตัวสั่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
            “เพราะฉะนั้นกินข้าวเอาแรงซักหน่อยเถอะ เผื่อคืนนี้คาโลต้องการตัวเธออีก จะได้มีแรงไง” กล่าวพร้อมยิ้มให้ก่อนจะตักข้าวจากจานข้าวที่ถือมาจ่อเข้าที่ปากของเธอ เฟรินใช้มือที่โดนมัดอยู่ทั้งสองข้างปัดชามข้าวให้ตกลงบนพื้นอย่างแรงแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
            “หึ ไม่กินก็ตามใจ แต่อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้ล่ะ คาโลสุดที่รักของเธอรออยู่นะ” กล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนจะเดินลงจากเกวียนไปทิ้งให้เธอต้องเจ็บใจอยู่คนเดียว
           
            คืนนี้กองทัพของปรินซ์อาเธอร์ตั้งค่ายอยู่ที่ชายป่าก่อนจะเข้านครจันทรา เฟรินที่ตอนนี้ถูกมัดแค่ข้อมือถูกทหารสองคนเดินนำไปที่กระโจมใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงทางเข้ากระโจมพวกเขาก็หยุดเพื่อแกะเชือกที่มัดข้อมือของเธออยู่ออกก่อนจะผลักเธอเข้าไปภายในกระโจม
            เฟรินเสียหลักล้มลงบนพื้นเพราะร่างกายของเธอตอนนี้ยังไม่หายดี เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปทั่วกระโจมก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่บนเตียงกว้างที่มีร่างสูงอันคุ้นเคยนั่งอยู่ที่ปลายเตียง แววตาสีฟ้ากระจ่างเหมือนกับคืนก่อนไม่ผิดเพี้ยน เป็นแววตาที่บ่งบอกถึงอันตราย แววตาหิวกระหายที่กำลังจ้องมองเธอราวกับอยากจะขยี้เธอให้แหลกคามือ
            มือใหญ่ยื่นออกมาข้างหน้าก่อนเฟรินจะรู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างดึงตัวเธอให้เข้าไปหา เพียงพริบตาเดียวเธอก็มานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว เมื่อคาโลเริ่มปลดตะขอกางเกงออกเธอก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อไป เฟรินก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตารินไหลจากใบหน้าหยดลงบนพื้นอย่างยอมรับในชะตากรรม มือแกร่งช้อนคางมนให้เงยขึ้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่เคยสะท้อนแววสุกใสบัดนี้กลับมีเพียงความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เธอพยายามค้นเข้าไปในดวงตาสีฟ้ากระจ่างด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าจะพบชายคนที่เธอรักอยู่ในนั้นแต่ก็ล้มเหลว สิ่งที่เธอพบมีเพียงซาตานที่เตรียมพร้อมจะทรมานเธออีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง......

            เฟรินลืมตาขึ้นมาในเช้าวันใหม่และพบว่าเธอยังคงอยู่ในกระโจมของคาโลเหมือนเดิม เธอหันไปข้างๆยังที่ๆคาโลควรจะนอนอยู่แต่กลับพบว่ามันว่างเปล่า เสียงบางอย่างที่บริเวณทางเข้ากระโจมทำให้เธอต้องหันขวับไปมองก็พบว่าเป็นหญิงรับใช้สองคนที่ถืออ่างใส่น้ำและเสื้อผ้าเข้ามา ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงหน้าเตียงของเธอก่อนจะโค้งทำความเคารพให้แล้ววางของลงที่โต๊ะข้างเตียงแล้วตรงเข้ามาพยายามทำความสะอาดตัวเธอทันที
            “เดี๋ยวก่อน นี่ หยุดนะ! พวกเธอจะทำอะไรเนี่ย!” เฟรินโวยวายใหญ่โตจนสาวใช้ยอมหยุดเพื่ออธิบายให้เธอฟัง
            “ก็เตรียมตัวท่านให้พร้อมน่ะสิคะ”
            “พร้อม? พร้อมสำหรับอะไร?”
            “เดี๋ยวท่านก็รู้เองแหละค่ะ ตอนนี้ปล่อยให้เราทำความสะอาดตัวท่านดีๆเถอะ ไม่งั้นเราอาจต้องให้ทหารยามหน้าห้องมาทำแทนนะ”  เพราะคำขู่นั้นทำให้เฟรินยอมหยุดโวยวายแล้วปล่อยให้สาวใช้ทำงานต่อแต่โดยดี สาวใช้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแขนเธอเบาๆแต่มันกลับทำให้เธอเจ็บจนต้องร้องออกมาเมื่อมันเผลอไปโดนตรงรอยช้ำจากฝีมือของคาโลที่สร้างไว้ทั่วตัวเธอพอดี สาวใช้ชะงักด้วยความตกใจก่อนจะลูบเบาๆที่บริเวณรอยช้ำ เฟรินรับรู้ได้ว่าสายตาที่เธอมองมันมีความสงสารอย่างเห็นได้ชัดทำให้เธอเลือกที่จะใช้ความสงสารให้เป็นประโยชน์
            “พี่สาว พี่ก็รู้ใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้” สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนจะหรุบตาลงแล้วพยักหน้าให้เบาๆ
            “คนรักของฉันกลายเป็นปีศาจร้ายที่ทำร้ายฉันเอง ฉันไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก ฉันกลัว......” ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การหลอกล่อให้สาวใช้ยอมเผยความลับแต่สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มันทำให้เธอน้ำตารื้นขึ้นมาจนสาวใช้ใจอ่อนยวบ เธอหันไปมองหน้าสาวใช้อีกคนอย่างขอความเห็น เมื่อเห็นว่าเพื่อนพยักหน้าให้แล้วจึงหันมาพูดกับเธอ
            “ท่านไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำร้ายท่านหรอกค่ะ อย่างน้อยก็ตอนนี้.....”
            “ตอนนี้หรอ? หมายความว่ายังไง?”
            “ปรินซ์อาเธอร์ส่งสาส์นท้ารบไปยังจ้าวปีศาจเอวิเดส เขาขอให้จ้าวปีศาจออกมาสู้ตัวต่อตัวกับท่านคาโลแล้วเขาจะยอมส่งตัวท่านกลับไปให้ หากไม่ยอม เขาจะฆ่าท่านซะ....” คำพูดของสาวใช้ทำให้เธออึ้งไปชั่วขณะ ท่านพ่อกับคาโลตัวต่อตัวอย่างนั้นหรอ? แล้วใครจะชนะล่ะ? อีกฝ่ายก็เป็นจ้าวปีศาจที่มีพลังมหาศาลเหนือใคร ส่วนอีกฝ่ายก็ยังไม่มีใครรู้ขีดจำกัดความสามารถมาก่อน แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าเรื่องที่คนทั้งคู่ล้วนเป็นคนที่เธอรัก ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะมันก็ไม่เป็นผลดีกับเธอทั้งนั้น
           
            สาวใช้จัดการทำความสะอาดตัวเธอจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมแต่งองค์ทรงเครื่องให้เธอจนดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่อาจอำพรางร่องรอยม่วงช้ำที่มีอยู่ทั่วตัวได้หมด เสียงเป่าแตรที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาทันที เสียงอึกทึกวุ่นวายที่ดังขึ้นข้างนอกกระโจมทำให้เธอยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
            “จ้าวปีศาจ!! จ้าวปีศาจเอวิเดสอยู่ที่นี่แล้ว!” เสียงตะโกนนั้นทำให้ทั้งสามคนในกระโจมหันมามองหน้ากันพร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากทันที
            “คงถึงเวลาที่ท่านต้องออกไปหาท่านพ่อของท่านแล้วล่ะค่ะ”

            สาวใช้นำตัวเฟรินเดินออกจากกระโจมไปยังลานกว้างกลางค่ายที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการประลองในครั้งนี้โดยเฉพาะ ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวผมดำถักเปียยาวลงมาที่ยืนตระหง่านอยุ่กลางลานจะเป็นใครไม่ได้นอกจากจ้าวปีศาจเอวิเดส พ่อของเธอนั่นเอง
            “ท่านมาคนเดียวตามสัญญาจริงๆสินะ จ้าวปีศาจ” อาเธอร์กล่าวขึ้นพร้อมโค้งให้น้อยๆ
            “ใช่ ข้ามาคนเดียวตามที่สัญญา ลูกสาวข้าอยู่ที่ไหน?”สุรเสียงทรงอำนาจทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นขนลุกชันไปตามๆกันแต่อาเธอร์กลับยังยิ้มอยู่ได้ เขาส่งสัญญาณให้สาวใช้พาเฟรินไปยืนข้างๆก่อนจะตอบกลับท่านจ้าวไป
            “ลูกสาวของท่านปลอดภัยดีอยู่ที่นี่ ท่านจะได้ตัวนางคืนไปทันทีหากท่านเอาชนะคาโลได้” เฟรินเหลือบมองไปทางคาโลทันทีที่อาเธอร์กล่าวถึงเขา คาโลยังคงดูนิ่งขรึมและเย็นชาเหมือนปกติมิได้ดูหวาดเกรงต่อความน่าเกรงขามของพ่อของเธอแต่อย่างใด
            “ถ้าอย่างนั้นก็มาทำให้มันจบๆซักทีเถอะ” ท่านจ้าวกล่าวด้วยสุรเสียงทรงอำนาจก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อแสดงถึงการเตรียมพร้อม อาเธอร์หันไปพยักหน้าให้คาโล คาโลจึงก้าวออกไปข้างหน้า เฟรินมองตามเขาไปอย่างเป็นห่วงจนเขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าท่านพ่อของเธอพอดี
            ฉับพลันทันใดท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสไร้เมฆหมอกบดบังก็พลันมืดครึ้มลงทันตา เสียงฟ้าร้องครามครันตามมาด้วยสายฟ้าที่ฟาดลงตรงกลางระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งคู่ส่งผลให้แผ่นดินแยกออกจากกันทันที ทั้งคู่ร่ายเวทย์สร้างลูกไฟขึ้นมาฝ่ายจ้าวปีศาจเป็นลูกไฟสีดำ ฝ่ายคาโลเป็นลูกไฟสีขาว ฉับพลันทั้งคู่ก็ปล่อยลูกไฟเข้าปะทะกันจนเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ลำแสงทั้งสองมาบรรจบกันตรงกลางต่างพยายามดันลำแสงให้ไปหาอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนพลังของทั้งคู่จะสูสีกันไม่น้อยเพราะต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ หากใครเผลอเพลี่ยงพล้ำไปแม้เพียงนิดก็อาจจะทำให้ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้
            เฟรินเฝ้ามองการต่อสู่ด้วยความกระวนกระวาย หัวใจของเธอราวกับถูกบีบคั้นทุกครั้งที่ลำแสงเอนเอียงไปหาฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป ตอนนี้ทั้งคู่ก็ต่อสู่กันมานานพอสมควรแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครยอมแพ้ใคร มือของทั้งคู่เริ่มสั่นด้วยความล้าเพราะต้องต้านแรงพลังจากอีกฝ่ายไว้ ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนี้อาจจะมีใครซักคนทนไม่ไหวขึ้นมาก็ได้ เฟรินตัดสินใจทำบางอย่างที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตหัวขโมยจะทำได้ เธอสลัดตัวออกจากการกอบกุมของสองสาวใช้ก่อนจะวิ่งลงไปกลางสนามประลอง เฟรินกระโดดเข้าไปตรงจุดที่ลำแสงทั้งสองมาเชื่อมต่อกันพอดี ร่างของเธอสว่างวาบขึ้นก่อนที่ลำแสงจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ลำแสงเล็กๆสีทองแตกออกจากร่างเธอก่อนจะล้อมเธอไว้เป็นวงกลมและพาให้ร่างเธอลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปล่อยพลังเวทย์ทั้งสองมือสั่นเทิ้มด้วยแรงพลังที่ถูกปลดปล่อยออกจากตัวของเฟรินจนยากจะประคองตัวไว้ได้ไหว ในที่สุดเมื่อร่างของเธอลอยค้างอยู่เหนือหัวทุกคน ลำแสงสีทองก็สว่างจ้าขึ้น แรงพลังแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศยังผลให้คู่ประลองทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศละทาง
            เมื่อไร้ลำแสงที่ประคองตัวเธอไว้กลางอากาศร่างของเฟรินก็ร่วงลงบนพื้น ท่านจ้าวเอวิเดสและคาโลที่พ้นจากฤทธิ์ของน้ำยาสะกดใจแล้วรีบวิ่งมาดูอาการของเธอทันที คาโลมาถึงก่อนจึงประคองเฟรินไว้ในอ้อมอก ก่อนจะรีบกล่าวอย่างกระวนกระวาย
            “เฟริน! เฟรินลืมตาขึ้นมาสิ!” คาโลเขย่าตัวเธออย่างแรงจนในที่สุดเธอก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
            “คา.....โล.....” เฟรินเรียกชื่อคาโลด้วยเสียงรวยรินเต็มทีพร้อมพยายามยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาทำให้คาโลต้องรีบจับมือของเธอเอาไว้แล้วแนบเข้ากับใบหน้าของตนเองทันที
            “ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่แล้ว”
            “นะ..นายกลับมาเป็นคนเดิมแล้วชะ..ใช่มั้ย....”
            “ใช่ ใช่ ฉันขอโทษ เฟรินฉันขอโทษ...”กล่าวพลางน้ำตาก็พร่างพรูลงมาอย่างช่วยไม่ได้แต่เฟรินกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เขา
            “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แค่นาย...กลับมาเป็นคนเดิม ฉันก็ มี ความสุขแล้ว.....” คำพูดของเธอทำให้คาโลร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิมเขาดึงมือของเธอมาจุมพิตลงไป เฟรินหันไปทางท่านพ่อของเธอ มือบางยกขึ้นตรงหน้าทำให้ท่านจ้าวรีบรับมากุมเอาไว้
            “หนูขอโทษนะคะท่านพ่อ.....ขอโทษที่ยังไม่เคยทำหน้าที่ลูกที่ดีเลยซักครั้ง แต่ตอนนี้หนูคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว.....” ท่านจ้าวส่ายหัวพร้อมน้ำตาที่รินไหลลงมา เขายิ้มกว้างให้เธอก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ
            “ลูกเป็นลูกที่ดีที่สุด พ่อรักลูกนะ....”

            “หนูก็รักพ่อค่ะ นายด้วย ฉันรักนายนะ คาโล......”ประโยคแรกพูดกับพ่อของเธอก่อนจะหันมาพูดประโยคหลังกับคาโล เฟรินยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปลือกตาที่หนักอึ้งจะค่อยๆปิดลง มือทั้งสองข้างตกลงมาอยู่ข้างกาย แล้วลมหายใจสุดท้ายของเธอก็ถูกพรากไป........


มาต่ออย่างรวดเร็ว ทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ ตู้ม!!!! งานดราม่าก็มา.......................

1 ความคิดเห็น: